พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 243
พราหมณสังยุต
อุปาสกวรรคที่ ๒
๑. กสิสูตร
ว่าด้วยการทำนาทางธรรม
[๖๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ อยู่ ณ พราหมณคามชื่อว่า เอกนาลา ในทักขิณาคีรีชนบท แคว้นมคธ ก็ในสมัยนั้นกสิภารทวาชพราหมณ์ เทียมไถมีจำนวน ๕๐๐ ในกาล (ฤดู) หว่านข้าว.
[๖๗๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่ทำการงานของกสิภารทวาชพราหมณ์ในเวลาเช้า.
สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเลี้ยงอาหาร (มื้อเช้า) . ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่เลี้ยงอาหาร (ของเขา) ครั้นแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. กสิภาร-ทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนบิณฑบาตอยู่ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพเจ้าไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว ย่อมบริโภค ข้าแต่พระสมณะแม้พระองค์ ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถิด.พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน
ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค.
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ก็ข้าพเจ้าไม่เห็นแอก ไถ ผาล
ประตักหรือโคทั้งหลายของท่านพระโคดมเลย เมื่อเช่นนี้ท่านพระโค-ดมยังกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค.
[๖๗๓] ครั้งนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นชาวนา แต่
ข้าพเจ้าไม่เห็นการไถของพระองค์ พระ-
องค์ผู้เป็นชาวนา ข้าพเจ้าถามแล้วขอจง
ตรัสบอก ไฉน ข้าพเจ้าจะรู้การทำนาของ
พระองค์นั้นได้.
[๖๗๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน
ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็น
งอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาล
และประตัก เรามีกายคุ้มครองแล้ว มี
วาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วใน
การบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้า
(คือวาจาสับปรับ) ด้วยคำสัตย์ โสรัจจะ
ของเราเป็นเครื่องให้แล้วเสร็จงาน ความ
เพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ
ไปไม่ถอยหลัง ยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่
เศร้าโศก.
เราทำนาอย่างนี้ นาที่เราทำนั้นย่อม
มีผลเป็นอมตะ บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนา ขอจง
บริโภคอมฤตผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด.
[๖๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เราไม่พึงบริโภคโภชนะ ซึ่งได้
เพราะความขับกล่อม ดูก่อนพราหมณ์
นี่เป็นธรรมของบุคคล ผู้เห็นอรรถและ
ธรรมอยู่ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมรังเกียจ
โภชนะที่ได้เพราะการขับกล่อม ดูก่อน
พราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ ความเป็นไป
(อาชีวะ) นี้ก็ยังมีอยู่ แต่ท่านจงบำรุง
ซึ่งพระขีณาสพทั้งสิ้น ผู้แสวงหาคุณ ใหญ่ มีความคะนองระงับแล้ว ด้วย ข้าวน้ำอันอื่น ด้วยว่าการบำรุงนั้นเป็น นาบุญของผู้มุ่งบุญ.
[๖๗๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว กสิภารทวาชพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นได้ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.