ทำไมปัจจุบันอวดอ้างโสดาบันกันมาก ทำไมคนปัจจุบันขาดสติเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกไม่มีวิจารณญาณ คนทำไมไม่กลัวบาปกรรมกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรัหนตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคนมีการสะสมมาที่แตกต่างกัน ความประพฤติเป็นไปจึงไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ย่อมจะเป็นผู้มั่นคงในความเป็นความเป็นจริงของธรรม สิ่งใดถูก คือ ถูก สิ่งใดผิด คือ ผิด ก็จะไม่คล้อยไปตามคำพูดของผู้อื่นที่กล่าวอวดอ้างต่างๆ นานา เพราะเข้าใจแล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้รู้ให้เข้าใจอะไร ย่อมจะเป็นผู้ขาดที่พึ่ง ไม่มีความเข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง ใครว่าอะไรก็จะคล้อยตามไปทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ เพราะทุกคำที่พระองค์ตรัส นั้น เป็นคำจริง เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง
ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล มี พระโสดาบันเป็นต้น ท่านจะไม่ประกาศตนเองว่าท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น แต่จะปกปิดคุณธรรมที่ตนเองมี พร้อมทั้งมีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเหมือนอย่างที่ตนเองได้รู้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวอวดอ้างว่าเป็นพระโสดาบัน จึงไม่ใช่พระอริยบุคคลอย่างแน่นอน แต่ที่กล่าวคำอย่างนั้นออกไปได้ ก็เพราะจิตไม่สะอาด ไม่มีความเกรงกลัวต่ออกุศลธรรม มีความปรารถนาลามก (คือ ตนเองไม่มีคุณธรรม ก็มีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองมีคุณธรรม) เพื่อต้องการลาภสักการะ สรรเสริญ เป็นต้น ล้วนเป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นและเป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองโดยส่วนเดียว เป็นบุคคลที่น่าสงสารน่าเห็นใจมาก เพราะได้สร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง และตนเองนั่นแหละที่จะเป็นผู้ได้รับผลที่ไม่ดีจากการกระทำของตนเอง ไม่มีใครทำให้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล มี พระโสดาบันเป็นต้น ท่านจะไม่ ประกาศตนเองว่าท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น แต่จะปกปิดคุณธรรมที่ตนเองมี พร้อมทั้งมีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเหมือนอย่างที่ ตนเองได้รู้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวอวดอ้างว่าเป็นพระโสดาบัน จึงไม่ใช่พระอริยบุคคลอย่างแน่นอน
ขอน้อมจิตอนุโมทนาในกุศลจิต ด้วยเศียรเกล้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ความเป็นพระโสดาบัน กับ เหตุที่ทำให้ให้บรรลุพระโสดาบัน
รู้สิ่งไหนมีประโยชน์กว่า?
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ในพระไตรปิฎกก็มีการกล่าวถึงมีผู้บรรลุเป็นพระอริยะ และประกาศคุณวิเศษของตัวเอง ด้วยการบัณลือสีหนาท
ถ้าประกาศตนเป็นอริยะจะต้องไม่ใช่พระอริยะ
กรุณาระบุข้อความจากพระไตรปิฎกเพื่อเป็นธรรมทานด้วยครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ มีการไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลตามความเป็นจริง
กระผมได้แสดงความคิดเห็นในความคิดเห็นที่ 1 ว่า ผู้ที่กล่าวอวดอ้างว่าเป็นพระโสดาบัน จึงไม่ใช่พระอริยบุคคลอย่างแน่นอน แต่ที่กล่าวคำอย่างนั้นออกไปได้ ก็เพราะจิตไม่สะอาด ไม่มีความเกรงกลัวต่ออกุศลธรรม มีความปรารถนาลามก (คือ ตนเองไม่มีคุณธรรม ก็มีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองมีคุณธรรม) เพื่อต้องการลาภสักการะ สรรเสริญ เป็นต้น ล้วนเป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นและเป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองโดยส่วนเดียว
อาการอวดอ้างอย่างนี้ ไม่ใช่คุณลักษณะของพระอริยบุคคลเลย แตกต่างไปจากพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต อย่างสิ้นเชิง พระเถระและพระเถรีทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมอย่างสูงสุด ท่านได้กล่าวพรรณนาถึงพระคุณของพระธรรมที่พระผู้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ว่า เป็นธรรมที่นำออกจากทุกข์ได้จริง ไว้มากมาย และตัวท่านได้น้อมประพฤติปฏิบัติตามแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ สามารถทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นสูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ไม่ใช่ลักษณะของการอวดอ้าง แต่เป็นการกล่าวพรรณนาถึงคุณของพระธรรม ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง จะได้เห็นประโยชน์และมีความตั้งใจที่จะฟังที่จะศึกษาพระธรรมแล้วน้อมประพฤติตามพระธรรมต่อไป
ประโยชน์ คือเพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นเลย หลักฐานต่างๆ สามารถศึกษาได้จาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายเถรคาถา (เล่ม ๕๐ - ๕๓) เถรีคาถา (เล่ม ๕๔) เป็นต้น ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ
อิสิทัตตเถรคาถา [ขุททกนิกาย เถรคาถา]
กราบขอความรู้เกี่ยวกับสภาวะของพระอรหันต์ค่ะ
พระอริยบุคคล
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
พระไตรปิฎก เล่ม ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
[๓๕๖] ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์ ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเสวยแล้ว ทรงนำพระหัตถ์ ออกจากบาตรแล้ว จึงถืออาสนะอันหนึ่งซึ่งต่ำกว่า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะโลหิจจพราหมณ์ ว่า จริงหรือ โลหิจจะ ได้ยินว่า ท่านเกิดมีทิฏฐิลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่น จักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไร ให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้.
โลหิจจพราหมณ์ ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญเป็นอย่างนั้น.
ภ. ดูกรโลหิจจะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านครองบ้านสาลวติกานี้มิใช่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.
ดูกรโลหิจจะ เราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ ครองบ้านสาลวติกา อยู่ โลหิจจพราหมณ์ ควรใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในบ้านสาลวติกานั้นแต่ผู้เดียว ไม่ควรให้ผู้อื่น ดังนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น จะชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.
เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.
ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ต่อ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไป ตั้งจิตเป็นศัตรู.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.
เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นสัมมาทิฏฐิ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.
ดูกรโลหิจจะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ