ทางลัด ไม่มี
โดย เมตตา  20 ก.พ. 2554
หัวข้อหมายเลข 17930

เส้นทางลัด ... คือทางหลง

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา มีความละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้ยาก และที่สำคัญแสดงถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม การที่จะเข้าใจธรรมได้นั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธแล้ว ต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง จะไปหาทางลัด ด้วยการไปทำอะไรที่ผิดปกติ ไปปฏิบัติผิดด้วยความเป็นตัวตน มีความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง เพราะทางลัดเป็นทางหรือวิธีของความไม่รู้ เป็นความเห็นผิด ถ้าดำเนินตามทางที่ผิด ซึ่งเริ่มด้วยความเห็นผิด โดยมีความไม่รู้เป็นประธาน ทุกอย่างก็ย่อมผิดทั้งหมด ทั้งความตรึก นึกคิด ความเพียร เป็นต้น ผิดทั้งหมด กล่าวโดยสรุป คือ ผิดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเลย

หนทางหรือปฏิปทา ที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) มีทางเดียวเท่านั้น คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อสะสมปัญญาจากการฟังธรรมในแต่ละครั้ง ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่ขาดการฟัง ก็จะเป็นปัจจัยให้สติปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ โดยสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งไม่มีตัวตนที่ไปทำหรือไปปฏิบัติเลย เพราะเป็นกิจหน้าที่ของธรรม ไม่ใช่เรา และเมื่อสะสมปัญญามากขึ้น คมกล้าขึ้น ในที่สุดก็จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลด้วยหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญานี้เท่านั้นจริงๆ ไม่มีทางอื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีตก็ดำเนินตามทางนี้มาแล้ว จึงบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า พระธรรม ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จึงจะเข้าใจ เพราะทางลัดหรือวิธีลัดไม่มีในพระพุทธศาสนา ดังที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ว่า “ทางลัดไม่มี เพราะทางลัด เป็นเรื่องไม่รู้ แต่ความรู้ (ปัญญา) ไม่ลัด” เพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป.

ทางสายเอกมีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีหนทางอื่น หนทางอื่นเป็นหนทางที่จะพาไปหลง ไม่ใช่ทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่เป็นทางที่คิดกันเอาเอง

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ทางอื่น ไม่มี [คาถาธรรมบท]

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...



ความคิดเห็น 1    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 21 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย intira2501  วันที่ 21 ก.พ. 2554

ก็ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจต่อไป แม้จะมีเวลาเพียงน้อยนิดในแต่ละวัน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย orawan.c  วันที่ 21 ก.พ. 2554

ขอขอบคุณละอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Jesse  วันที่ 21 ก.พ. 2554

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ผิน  วันที่ 21 ก.พ. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 7    โดย chaiyut  วันที่ 22 ก.พ. 2554

ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า สภาพธรรมมีจริง กำลังปรากฏในขณะนี้ ถ้าจะละจากตรงนี้ ไปหาทางลัดทางอื่น ขณะนั้นก็เนิ่นช้าไปเสียแล้ว

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 22 ก.พ. 2554

ควรพิจารณาให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะคลายความไม่รู้ ความสงสัยในลักษณะสภาพธรรม จึงจะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตนได้ จึงจะเป็นหนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ค่ะ ไม่มีทางลัดอื่นแน่นอน ...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...


ความคิดเห็น 10    โดย เซจาน้อย  วันที่ 22 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 11    โดย bsomsuda  วันที่ 23 ก.พ. 2554

"... ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่ขาดการฟัง ก็จะเป็นปัจจัยให้สติปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ ..."

ขอบพระคุณค่ะพี่เมตตา

อนุโมทนาค่ะพี่


ความคิดเห็น 12    โดย pamali  วันที่ 13 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 13    โดย วิริยะ  วันที่ 15 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย jaturong  วันที่ 16 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 30 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ