คือผมตีความหมายคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับเหล่าภิกษุ ในบทว่าด้วยเรื่องของวิญญาณไม่ได้ครับ เลยอยากให้ผู้ที่แตกฉานทางด้านนี้ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อย
บทนั้นมีอยู่ว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 183
[๔๕๐] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้น ถูกละ พวกเธอกล่าวอย่างนี้ แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ คือ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้.
กถาว่าด้วยธรรมคุณ
[๔๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอรู้เห็นอย่างนี้ พึงแล่นไปสู่ส่วนเบื้องต้นว่า ในอดีตกาลเราได้มีแล้ว หรือว่า ไม่ได้มีแล้ว เราได้เป็นอะไรแล้ว หรือว่า เราได้เป็นแล้วอย่างไร หรือเราได้เป็นอะไรแล้ว จึงเป็นอะไร ดังนี้บ้างหรือไม่.
ภ. ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ พึงแล่นไปสู่ส่วนเบื้องปลายว่า ในอนาคตกาล เราจักมี หรือว่าจักไม่มี เราจักเป็นอะไร หรือว่าเราจักเป็นอย่างไร หรือเราจักเป็นอะไรแล้ว จึงจักเป็นอะไร ดังนี้บ้างหรือไม่.
ภ. ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ ปรารภถึงปัจจุบันกาลในบัดนี้ ยังสงสัยขันธ์เป็นภายในว่า เราย่อมมี หรือว่าเราย่อมไม่มี เราย่อมเป็นอะไร หรือว่าเราย่อมเป็นอย่างไร สัตว์นี้มาแล้วจากไหน สัตว์นั้นจักไป ณ ที่ไหน ดังนี้บ้างหรือไม่.
ภ. ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
คือผมไม่เข้าใจความหมายครับว่าท่านหมายถึงอะไร เพราะจากเท่าที่อ่านดูแต่ต้นก็คือว่าวิญญาณจะดับไปเมื่อเราตาย และจะเกิดขึ้นมาใหม่จากกิเลสที่ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด เป็นอย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นวัฎสงสาร แล้วเหตุใดพระพุทธองค์จึงได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นด้วยข้อความสีฟ้า พระพุทธองค์ท่านหมายถึงอะไรในข้อความสีฟ้า ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิญญาณ หมายถึง สภาพรู้ ซึ่งก็คือ จิตที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยอวิชชาความไม่รู้ จึงมีการทำ กรรม และ เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ คือ การเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะยังมีกิเลสอยู่ และเมื่ออวิชชา คือ ความไม่รู้ ไม่มีอีก คือ ดับ กิเลสอื่นๆ ก็ดับ ก็ไม่มีการทำกรรม ที่เรียกว่า สังขาร เมื่อไม่มีการทำกรรม ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณ คือ การเกิดอีก และไม่มีการเกิดขึ้นของจิตอื่นๆ ซึ่งจากข้อความสีฟ้าที่ผู้ถาม ถามว่าทำไมพระพุทธเจ้ายังทรงตรัสว่า เราได้มีแล้วในอดีตกาล เราได้มีแล้วในอนาคต เป็นต้น ซึ่งหากอ่านโดยละเอียด จะมีข้อความก่อน สีฟ้าที่ว่า
[๔๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอรู้เห็นอย่างนี้ พึงแล่นไปสู่ส่วนเบื้องต้นว่า ในอดีตกาลเราได้มีแล้ว หรือว่า ไม่ได้มีแล้ว เราได้เป็นอะไรแล้ว หรือว่าเราได้เป็นแล้วอย่างไร หรือเราได้เป็นอะไรแล้ว จึงเป็นอะไรดังนี้บ้างหรือไม่.
จากข้อความที่กระผมขีดเส้นใต้ คือ แสดงว่า เมื่อเธอรู้ด้วยปัญญาตามความเป็นจริง ด้วยความเห็นว่า เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร มีวิญญาณ และรู้ตามความเป็นจริงและดับอวิชชาได้ สังขารจึงดับ วิญญาณจึงดับ ที่เป็นข้อความก่อนสีฟ้าขึ้นไปอีก เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เธอย่อมมีความเห็นว่า ต่อด้วยข้อความสีฟ้าที่ว่า
ในอดีตกาลเราได้มีแล้ว หรือว่า ไม่ได้มีแล้ว เราได้เป็นอะไรแล้ว หรือว่าเราได้เป็นแล้วอย่างไร หรือเราได้เป็นอะไรแล้ว จึงเป็นอะไร ดังนี้บ้างหรือไม่. ภิกษุทูลว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า คือ ไม่ได้มีความเห็นอย่างนั้น คือ ไม่ได้มีความเห็นว่ามีเราในอดีตอีก เราจะมีอีก เราได้เป็นแล้ว รวมถึง มีเราในปัจจุบันและอนาคต เพราะความเห็นว่ามีเราจริงๆ ด้วยอำนาจ ตัณหา และ ทิฏฐิ ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีเรา มีแต่ธรรม มีแต่ จิต เจตสิก รูป มี อวิชชา ไม่มีอวิชชาเหล่านี้ ไม่มีเราเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป อันเรียกว่า สังสารวัฏฏ์เพราะ เป็นการสืบต่อของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก เมื่อภิกษุทั้งหลาย มีปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว ดับตัณหา และ ทิฏฐิ ที่ยึดถือว่ามีเรา ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคตแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า เธอยังจะมีความเห็นว่า มีเรา ในอดีต ปัจจุบัน อนาคตไหม ภิกษุจึงได้ทูลว่า ไม่อย่างนั้น คือ ไม่ได้มีความเห็นอย่างนั้นแล้ว ครับ เพราะ ภิกษุมีความเห็นถูก และ ดับอวิชชาได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิญญาณ ตลอดจนถึงสภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหมด ล้วนมีเหตุปัจจัยให้เกิดทั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ โดยปราศจากเหตุปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบาท) พร้อมทั้งความดับวัฏฏะ และเมื่อได้ฟังได้ศึกษา เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ก็ย่อมจะมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เรา ไม่มีเราที่เกิดแล้วในอดีต ไม่มีเราที่เกิดในอนาคต ไม่มีเราที่เกิดในปัจจุบัน เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป จึงไม่มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือเป็นเราเลย และถ้าดับกิเลสหมดสิ้น เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดเกิดอีกเลย
พระธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะศึกษาจากส่วนใดของพระธรรมคำสอน ก็เพื่อเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงในธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก และรูป ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้นั่นเองครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ