บางคนถามว่า ทำอย่างไร ก็แปลว่า ไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่คำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ความเป็นไปของขันธ์ในอดีตแสนโกฏิกัปป์จนถึงขณะที่ถามว่า ทำอย่างไร ความคิดนั้นมาจากไหน
ขณะนี้เป็นผู้ศึกษา เป็นเสกขะ หรือเป็นกัลยาณปุถุชน ซึ่งถ้ามีความเห็นถูกต้องเป็นหนทางที่สามารถมีปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรม ค่อยๆ ละความเห็นผิดและความไม่รู้ จากการที่เราฟังธรรม แล้วฟังแล้วก็ลืมๆ แต่จากการฟังอีก ฟังอีก ฟังอีก สิ่งที่เคยลืมเสมอก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น
ด้วยเหตุนี้ธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ขาดการฟัง และเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็เกื้อกูลสะสมให้ถึงวิปัสสนาญาณได้ แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริง การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะเราอยากรู้ บางคนถามว่า ทำอย่างไร ก็แปลว่า ไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่คำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ความเป็นไปของขันธ์ในอดีตแสนโกฏิกัปป์จนถึงขณะที่ถามว่า ทำอย่างไร ความคิดนั้นมาจากไหนแม้แต่ที่จะถามว่า ทำอย่างไร ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อนานแสนนานมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยทำให้ขณะนี้เป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว คิดแล้ว พูดแล้ว เกิดแล้ว ตามที่เคยสะสมมา ตามความประพฤติของขันธ์
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นความประพฤติของขันธ์ มีใครมีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงความประพฤติที่เคยประพฤติมาให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่มีความเป็นตัวตนเลย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเดช ที่สามารถทำให้เผาสิ่งที่เคยเป็นอกุศล แล้วเกิดบ่อยๆ จนสามารถถึงวิปัสสนาญาณได้ เป็นปัญญาเดช
ขณะที่กำลังฟังขณะนี้เป็นปัญญาเดชหรือยัง ปัญญาเดช คือ วิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้นคำว่า “เดช” ไม่ใช่เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่เป็นธรรมที่สามารถเผาวิจิกิจฉา ความสงสัย ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ แต่ก็ยังไม่ใช่ปุญญเดช ปุญญ คือ การขัดเกลา ที่ใช้คำว่า “บุญ” บางทีเราก็ใช้บุญกับกุศล คล้ายๆ กัน เพราะว่ากุศล หมายความถึงสภาพธรรมที่ดีงาม ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย แต่บุญหมายความถึงสภาพธรรมที่ขัดเกลาอกุศล
เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตที่ดีงามเกิดขึ้น มีการช่วยเหลือบุคคลอื่น ขณะนั้นขัดเกลาอะไรหรือเปล่า หรือสามารถขัดเกลาความสงสัย ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะรู้ความจริงว่า ธรรมแต่ละลักษณะ มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง เป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ ขันธ์ใดเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นขันธ์นั้นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ หรือวิญญาณขันธ์ก็ตาม
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า เมื่อไรถึงอริยมรรค เมื่อนั้นคือการขัดเกลาที่เป็นเดช ปุญญเดช สภาพธรรมนั้นจะไม่เกิดอีกเลย ที่ได้ขัดเกลาแล้ว หรือที่ได้เผาแล้ว
เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็จะเข้าใจความหมายของสภาพธรรมที่อะไรจริงๆ ที่มีกำลัง ที่สามารถเผาธรรมที่เป็นข้าศึกได้
เดี๋ยวนี้เป็นอะไรคะ อปุญญเดช หรือเปล่า มีอีกเดชหนึ่ง คือ อปุญญเดช อกุศลทั้งหลายมีกำลังหรือเปล่า นั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นเผาอะไร ก็เผากุศล ถ้ากำลังขุ่นเคืองใจ อปุญญเดช ไม่ยอมเลิก แต่ปุญญเดช คือ อริยมรรคเกิดขึ้นสามารถดับอกุศลเป็นสมุจเฉทได้ แต่ก่อนนั้นต้องมีปัญญาเดชก่อน คือ ปัญญามีกำลังพอที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ใครเลย และขันธ์ที่เกิดแล้ว ที่โกรธ ขุ่นเคืองไม่พอใจ ก็เป็นธรรมเลวด้วย
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด ธรรมที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา เป็นธรรมเดช ที่จะทำให้ผู้ฟังไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ เข้าใจความจริงของธรรมนั้น เพราะว่าคิดเองได้ไหมคะ ไม่มีทางเลย
ที่มา ...
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 474