เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
เมื่อวันที่ ๒๘ ธ.ค. ๕๖ ได้ฟังการสนทนาธรรมในช่วงบ่ายเกี่ยวกับลูกศรสองดอกที่ยิงไปที่แผลเดิมโดยอาจารย์ธิดารัตน์พูดถึงเกี่ยวกับอารมณ์ที่ไม่ชอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นทางปัญจทวาร เช่น กายวิญญาณรู้สภาพเย็นเกินไป เกิดทุกข์ซึ่งลูกศรดอกแรกที่ถูกยิง และเมื่อรู้อารมณ์เดียวกันต่อทางมโนทวารก็เกิดโทมนัส ซึ่งก็เหมือนถูกยิงด้วยลูกศร ดอกที่สองที่แผลเก่า เป็นอุปมาที่กระผมเพิ่งเข้าใจ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วย บรรยายละเอียดเพิ่มความเข้าใจด้วยครับ
ขออนุโทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เวลาที่มีทุกขเวทนาเกิด แล้วก็เป็นทุกข์เดือดร้อนใจ ให้ทราบได้ว่า เพิ่มทุกข์ให้ กับตนเอง เหมือนกับถูกลูกศรดอกที่หนึ่งทางกาย แล้วก็ยังไม่พอ ยังจะต้องถูกยิงด้วยลูกศรดอกที่สองที่แผลเก่านั้นอีกซ้ำลงไป เพราะฉะนั้น ทุกข์ก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากทุกข์กายแล้วก็ยังมีทุกข์ใจ ด้วย
อ้างอิงจาก...ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์ สุจินต์ ได้ที่นี่ ครับ
เมื่อกรรมที่จะให้ผลในชาตินี้ยังมีอยู่ ก็ยังตายไม่ได้ ต่อให้ทำยังไงก็ตายไม่ได้ โดยมากนั้นทุกข์ใจเกิดต่อจากทุกข์กายเวลาป่วยไข้ไม่สบายก็ห่วงกังวล ความเจ็บป่วยนั้นเปรียบเหมือนการถูกแทงด้วยลูกศรดอก ที่ ๑ แต่ความทุกข์ใจ ความวิตก ความห่วงกังวลเปรียบเหมือนลูกศรดอกที่ ๒ ที่แทงซ้ำตรงแผลเก่าแผลก็เหวอะหวะมากขึ้น แล้วจะทุกข์ร้อนเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ ทุกข์กายนั้นหนีไม่พ้นเพราะมีกายก็ต้องมีทุกข์ ยุงกัดเจ็บ เมื่อไม่เดือดร้อน ลูกศรดอกที่ ๒ ก็ไม่มี มีแต่ดอกที่ ๑ เมื่อเปรียบความห่วง ความกังวลเป็นลูกศรดอกที่ ๒ ก็จะเห็นชัดว่าไม่น่า จะให้ถูกแทงด้วยลูกศรดอก ที่ ๒ ซ้ำอีก ทุกข์กายเกิดขึ้นก็รักษาพยาบาล ไม่ต้องไป วิตกกังวลเพิ่มขึ้นอีก ความกังวลไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเรื่องยาวที่ไร้สาระซึ่งไม่ ทำให้อะไรดีขึ้น เมื่อเจ็บป่วยก็รักษา จะเสียเวลาเป็นห่วงเป็นกังวลให้เป็นทุกข์เดือดร้อนทำไม
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความแตกต่างระหว่างปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ กับ อริยสาวกผู้ได้สดับ แก่ภิกษุทั้งหลาย ความว่า บุคคลทั้งสองจำพวก นั้น เสวยเวทนาเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ (คือ ไม่ได้สดับพระธรรม) เมื่อได้รับทุกขเวทนา (ทุกข์ทางกาย) ย่อมทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ มีความ เศร้าโศก เสียใจ เปรียบเหมือนกับ เมื่อถูกยิงด้วยลูกศรดอกที่หนึ่งแล้ว ยังถูก ยิงซ้ำอีกด้วยลูกศรดอกที่สอง ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ จึงยังไม่พ้นไปจากทุกข์
ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อได้รับทุกขเวทนา (ทุกข์ทางกาย) ย่อมมีเพียงทุกข์ทางกายเท่านั้น ไม่มีทุกข์ทางใจ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เปรียบเหมือนกับ ผู้ถูก ยิงด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว ไม่ถูกยิงซ้ำอีก ด้วยลูกศรดอกที่สอง อริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ว เป็นผู้ปราศจากทุกข์ พ้นจากทุกข์.
(ข้อความโดยสรุปจาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สัลลัตถสูตร)
เมื่อพูดถึงทุกข์อย่างกว้างๆ แล้ว มี ๒ ประการ คือ ทุกข์กาย กับ ทุกข์ใจ ผู้ศึกษาพระธรรมต้องทราบว่า ทุกข์ทางกาย เป็นทุกขเวทนา ทุกขเวทนาทางกาย เป็นผลของกรรมในอดีต ไม่มีใครทำให้ และควรจะได้พิจารณาว่า ทุกขเวทนา ทางกาย เกิดขึ้นได้ เพราะมีรูปร่างกาย กล่าวคือ เมื่อมีรูปร่างกายแล้ว ไม่มีใคร สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เนื่องจากว่าร่างกายเป็นรังของโรค แต่สำหรับบุคคลผู้ที่มีร่างกายสบายดี แต่ใจเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะ พิจารณาเช่นเดียวกัน เพราะเหตุว่า ทุกข์ใจ เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่อง ของอกุศลธรรม
ดังนั้น ต้องแยกด้วยความเข้าใจถึงความละเอียดของสภาพธรรม ทุกข์กายเกิดขึ้น เพราะกรรมในอดีตเป็นปัจจัย แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลผู้เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุดในโลก และ พระอริยบุคคลทั้งหลาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์กายอัน เกิดขึ้นเพราะกรรมในอดีตเป็นปัจจัย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีทุกข์กาย แต่ไม่ทุกข์ใจนั้น มีอยู่ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญา มีทั้งทุกข์กาย และทุกข์ใจ แม้ไม่มีทุกข์กายเลย แต่ก็มีทุกข์ใจได้
การที่จะไม่มีทุกข์ใจ นั้น ก็ต้องมีปัญญา เพราะปัญญาทำหน้าที่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงและเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส ปัญญาของคนอื่น จะไปดับ ทุกข์ให้คนอื่น นั้น เป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาของผู้นั้นเอง โดยเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เพราะไม่มีปัญญา จึงทุกข์ใจเพราะความเจ็บทางกาย ถูกลูกศรสองดอก ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลค่ะ