ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๗
@ ไม่มีใครที่จะไม่ประสบชาติ ชรา มรณะ ทั้งตนเองและบุคคลอื่นแต่ละท่านก็ได้เกิดมาแล้ว ยังมีบุคคลอื่น ญาติมิตรสหาย เพื่อนฝูง ก็ยังคงมีการเกิดขึ้นเรื่อยๆ และชราลงไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็คือ มรณะ ความตาย ซึ่งเป็นของแน่นอนที่สุด วันหนึ่งวันใดก็ได้ ขณะไหนก็ได้ทั้งสิ้น
@ ทันทีที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที ไม่มีใครที่จะยับยั้งได้เลย ก็เป็นการตั้งต้นของชาติ ชรา และมรณะต่อไปอีก
@ เสพทางผิดแม้เพียงเล็กน้อย นิดเดียวที่ผิด ก็จะทำให้ผลที่ปรากฏว่า เป็นผลที่ผิดอย่างใหญ่ ซึ่งท่านที่อาจจะเคยเข้าใจว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็คงจะทราบได้ว่า ถ้าไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติจริงๆ ย่อมจะทำให้เกิดสิ่งที่ผิดปกติ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่ค่อยๆ รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติอย่างนี้ได้
@ เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ควรคิดว่าจะปฏิบัติทันที แต่ควรที่จะเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นๆ เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สติระลึกถูกต้องตามความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าต้องการที่จะปฏิบัติโดยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ผลที่ปรากฏก็ย่อมเป็นสภาพที่ผิดปกติด้วยความไม่รู้
@ ถ้าขณะใดที่สติไม่เกิด หลงลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ขณะนั้นก็มีความฟุ้งซ่านต่างๆ
@ ชีวิตจริงๆ แต่ละคน แต่ละขณะ แต่ละวัน ฟุ้งซ่านบ้างไหม เคยนึกถึงเรื่องอะไรๆ บ้างไหม ซึ่งเวลาที่อกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในอารมณ์ทั้งหลายจนท่วมท้น ก็แสดงให้เห็นว่า ลักษณะของความฟุ้งซ่าน
@ กิเลสซึ่งมีมาก ก็แสดงออกมาในลักษณะอาการต่างๆ กันของแต่ละบุคคล ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ถ้าสติเกิด ก็ย่อมรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า มีอะไรบ้างที่ไม่ดี ดีกว่าที่จะคิดว่า ดีทุกอย่าง ดีหมดแล้วไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะต้องดีขึ้น
@ ขยันมากไหมวันนี้ ขยันที่เป็นอกุศล หรือว่าเป็นกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีศรัทธา ต้องเป็นผู้ที่เกียจคร้านในกุศล แต่ว่าขยันในอกุศล
@ ช่วยทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีกิจการงานอะไร ไม่เคยปฏิเสธ และเป็นผู้ที่สามารถจะจัดทำให้ได้อย่างดี นั่นคือ ลักษณะของผู้ที่มี ศรัทธา เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่กุศลจิตเกิดที่จะช่วยอนุเคราะห์ สงเคราะห์บุคคลอื่น
@ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม แล้วช่วยให้คนอื่นสามารถเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ทุกคนก็เกิดมาเพื่อที่จะทำกรรมดีเพิ่มขึ้น
@ ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดให้เข้าใจจริงๆ ปฏิบัติถูกจริงๆ จึงสามารถดับมิจฉาทิฏฐิได้ เพราะเหตุว่าความเห็นผิดและข้อปฏิบัติที่ผิด เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาโดยละเอียด มิฉะนั้นแล้วจะยึดถือในข้อปฏิบัติผิดนั้นได้
@ ความจริงธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา แต่ว่าตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้เห็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า แม้ขณะนี้พระผู้มีพระภาคจะได้ตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดทุกประการ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะทรงอนุเคราะห์ให้ผู้ฟังค่อยๆ เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แต่กว่าจะประจักษ์ความจริงของธรรมได้ ก็จะเห็นได้ว่า ประวัติของพระสาวกแต่ละท่าน ไม่ใช่เพียงฟังธรรมครั้งเดียวแล้วสามารถรู้แจ้งธรรมในขณะนี้ได้ แต่ต้องอาศัยความอดทน
@ สิ่งที่สกปรกภายนอกยังชำระล้างได้ ลืมอีกแล้ว อะไรสกปรกกว่า และจะชำระล้างได้อย่างไร?
@ ประโยชน์ของการฟังธรรม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อเข้าใจสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่เรา
@ ทุกคำ (ที่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง) มีค่าที่จะทำให้เราไม่ลืมซึ่งความจริง
@ ไม่ใช่สะสมชื่อ (ของธรรม) แต่สะสมความเข้าใจความเป็นจริงของธรรม
@ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงๆ (ธาตุ คือ สิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ไม่เปลี่ยนแปลง)
@ ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมใดเป็นรูปธรรม สภาพธรรมใดเป็นนามธรรม ก็ย่อมไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
@ ที่ใจหรือจิตเป็นใหญ่ เป็นมนินทรีย์ ก็เพราะเหตุว่าเป็นที่ตั้งที่เกิดของนามธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย ถ้าไม่มีจิต เจตสิกอื่นๆ ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น สภาพของจิตจึงเป็นใหญ่ เป็นอินทรีย์ เป็นมนินทรีย์
@ ความรู้สึกจะต้องมีอยู่ทุกขณะที่จิตเกิด แล้วก็ปรารถนาแต่เฉพาะสุขเวทนาและโสมนัสเวทนา แต่อย่าลืมว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา วันนี้เป็นสุขเวทนา ต่อไปจะเป็นทุกเวทนาแสนสาหัสก็ได้ จากอุบัติเหตุซึ่งมีอยู่ทุกเมื่อ หรือว่าจากโสมนัสเวทนา กำลังเป็นโสมนัสอยู่ ข่าวร้ายปัจจุบันมาก็เป็นโทมนัสเวทนาไปเสียแล้ว ในสังสารวัฏฏ์ก็จะต้องวนเวียนไปกับความรู้สึกซึ่งไม่มีวันจบ
@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด เมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ฟังพระธรรม.
@ เกิดมาเพื่อขัดเกลากิเลส และเพื่อเข้าใจพระธรรม.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
@ การฟังธรรมเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
@ ฟังไม่เพียงพอ แค่ฟังจะไปทำสติไม่ได้
@ ให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่มีใครทำอะไร ทุกอย่างเกิดตามเหตุปัจจัย
@ แต่ละคนยากที่จะรู้ว่าใครสะสมอะไร เป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้น ก็เข้าใจถูกในแต่ละคน
ปัญญาจะเกิดทำหน้าที่เห็นถูก เข้าใจถูก
@ มงคล คือ สภาพธรรมที่เป็นกุศล นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ
@ ไม่คบคนพาล ไม่พอ ต้องคบบัณฑิต
@ บูชาบุคคลที่ควรบูชา ไม่ใช่ไห้กราบ ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ต้องด้วยนิรามิสบูชา คือ การบูชาด้วยความเข้าใจขึ้นในพระธรรม
@ ถ้าขาดพาหุสัจจะ การฟัง ความเจริญก็ไม่มี
@ อัตตสัมมาปณิธิ มาเพื่อฟังธรรมให้เข้าใจเท่านั้น เป็นการตั้งตนไว้ชอบ
@ มีความรู้ความสามารถ ใช้ประโยชน์ได้แน่นอน ที่เป็นระโยชน์ในทางกุศลกับคนอื่นเป็นศิลปะที่ประเสริฐ
@ ชีวิตจะมีอยู่ต่อไปเพื่อความเข้าใจธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส
@ ทุกวันนี้พูดด้วยปัญญา พูดด้วยกุศลหรอืเปล่า ทุกคนพูดแน่ในแต่ละวัน วาจาที่ควรพูด ควรอ่อนหวาน ดี ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปไกลถึงสติปัฏฐาน สำคัญที่ชีวิตประจำวันด้วยเป็นสำคัญ
@ มิตรที่ดี คือ มิตรที่ทำให้ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
@ สิ่งที่อยากได้ ได้เพราะอยาก หรือเพราะด้วยความดี แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็ทำให้ติดข้องพอใจด้วยกิเลส เห็นโทษไหม คะ
@ การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ดังนั้นขณะที่ตั้งใจฟังสิ่งที่กำลังฟังด้วยดีแล้วเข้าใจ ขณะนั้นตั้งจิตไว้ชอบ ฟังอะไรก็เข้าใจในสิ่งที่ฟัง การฟังพระธรรมไม่มีเราที่จะไปทำ หรือไปตั้งจิตไว้ชอบได้เพราะนั่นเป็นความต้องการ เป็นความหวัง เป็นกิเลส เป็นอกุศลจิต การตั้งจิตไว้ชอบเป็นไปในกุศลเท่านั้น และเพื่อขัดเกลากิเลส ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ฟังแล้วคิดเรื่องอื่น ก็ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะขณะนั้นเฉไปจากสิ่งที่มีจริงไปคิดเรื่องอื่น จะตั้งจิตไว้ชอบได้อย่างไร จุดประสงค์ของการฟังก็เพื่อเข้าใจ บางขณะฟังแล้วเข้าใจ ก็ตั้งจิตไว้ชอบแล้ว บางขณะฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ตั้งจิตไว้ชอบ การฟังพระธรรมอยู่เสมอๆ ค่อยๆ พิจารณาตามสิ่งที่ได้ฟังจนเข้าใจ ขณะที่เข้าใจเป็นปัญญา มีสติเกิดร่วมด้วย สติ และปัญญาเป็นโสภณเจตสิก เป็นสังขารขันธ์ค่อยๆ ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ไม่มีเราที่จะใช้สติใช้ปัญญาได้เลย
ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย
และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และอ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และอ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ