สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
พระวินัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ก.ย. ๒๕๕๑
อ.อรรณพ ได้สนทนา..กับท่านอาจารย์ และได้ยินท่านพูดถึง การวัดระดับจิตใจและปัญญา ก็คือ อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ ว่าวัดขณะไหน และวัดอย่างไร อย่างเช่นฟังธรรม แล้วรู้สึกใจร้อน วัดแล้วเป็นยังไงครับ
ท่านอาจารย์ ความจริง..ถ้าทราบว่า ทุกขณะเป็นธรรม ขณะนั้นน่ะ วัดได้เลย เดี๋ยวนี้ มีเห็น พอใจในเห็นหรือเปล่า ถ้าพอใจในเห็น วัดได้ว่าอวิชชามากหรือปัญญามาก ไม่ต้องไปอาศัยใครบอกเลย แต่วัดเองค่ะ ชอบอะไรบ้าง ชอบสิ่งที่ปรากฎทางตา.....ทางกายทางใจ ไม่จบ มากๆ ด้วย วัดปัญญากับอวิชชา ฟังธรรมกับไม่ฟังธรรม ไม่ว่าการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนั้นถ้า ปัญญาเกิด ก็วัดได้เลย ขณะนั้นน่ะ มีอะไรที่สะสมมามาก มีโลภะสะสมมามาก มีโทสะสะสมมามาก มีเมตตาสะสมมามาก มีกรุณาสะสมมามาก หรือว่ามีปัญญาสะสมมามาก ส่วนใหญ่ เป็นไปกับอกุศล ใกล้ชิด มอมเมา ติดแน่น จนไม่รู้ตัวว่า ตัวเองก็ดำสกปรกด้วยอกุศล ขณะที่เป็นกุศล ขณะใดที่เป็นความเห็นถูก ขณะนั้นไม่ได้สะสมอกุศล จนกว่าจะค่อยๆ ละคลายขึ้น และรู้ตามความเป็นจริงแต่นั่น คือ เราจริงๆ ถ้ายึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะว่าจิตนี้สะสมอะไรมา เอาไปให้จิตอื่นไม่ได้ เคยเข้าใจว่าจิตนี้เป็นเรา
เพราะฉะนั้น ก็เห็นสภาพของจิต ที่เกิดแล้วในวันหนึ่งๆ เป็นเครื่องวัดว่า สะสมอะไรมามาก ถ้ามีสิ่งที่จะต้องตัดสินใจ รู้ได้เลย ขณะนั้น ตัดสินด้วยความยินดี ด้วยความต้องการ ด้วยความติดข้อง ซึ่งลวงให้เห็นเหมือนกับดีได้ แต่ถ้าเป็นความตรงของปัญญา เป็นผู้ที่ห่างจากความดำมืด เพราะมีความสว่างด้วยปัญญา คือความเห็นที่ถูกต้อง จึงเห็นชัด
เพราะฉะนั้น ขณะที่แม้ตัดสิน ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสิน ขณะนั่นน่ะค่ะ วัด "อวิชชา" วัด "ปัญญา" จะเลือกอะไร จะเลือก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือปัญญา ซึ่งปัญญานี้ จะมาจากไหน ถ้าไม่มีการฟัง ปัญญาก็เจริญไม่ได้ แต่ถ้าเลือก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง.....โพฏฐัพพะ ขณะนั้น เป็นปัญญา เป็นการฟังธรรม เป็นการไตร่ตรอง ที่ปัญญาจะเจริญขึ้นหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็วัดจริงๆ การกระทำของแต่ละคน ความคิดหรือการตัดสินใจทั้งหมด ก็เป็นเครื่องวัดกุศลหรืออกุศลที่ได้สะสมมาแล้ว
คุณอรรณพ พูดถึงเรื่องวัดใจ เมื่อ ๒-๓ วันนี้ ก็มีความเข้าใจผิด คิดว่า ดิฉันตาย ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ คุณอรรณพ ก็เป็นห่วงสุขภาพ คิดว่า ดิฉันควรจะได้พักผ่อน เพิ่มขึ้น เพราะอายุมากแล้ว วัดใจหรือเปล่า แล้วเวลาที่มีความเข้าใจผิด คิดว่าดิฉันตาย แต่ดิฉันจะตายวันไหนก็ได้ เมื่อคนอื่นตาย เมื่อคนนั้นตาย คนนี้ตาย ดิฉันตายหรือคนที่พูดว่าดิฉันตาย ก็อาจจะตายก็ได้ ใช่ไหมค่ะ
เพราะฉะนั้น ก่อนตายนี่ค่ะ วัดใจ มีชีวิตอย่างไร ทำประโยชน์พอหรือยัง แล้วก็ควรที่จะทำประโยชน์มากขึ้น เพิ่มขึ้น...หรือเปล่า เพราะว่า จะตายเมื่อไร ก็ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้
เพราะฉะนั้น ที่จะให้พักผ่อน วัดใจคุณอรรณพอย่างหนึ่ง หรือเปล่าค่ะ มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านนั่งอยู่แถวหลัง ก็ได้ทราบว่า ท่านเสียชีวิตแล้ว ไม่ทราบว่าใครคุ้นเคยกับท่านบ้าง คุณเดือนฉาย ใช่ไหมค่ะ ก็เป็นของธรรมดา มีใครบ้างล่ะค่ะ ที่ไม่จากโลกนี้ไป ข้อสำคัญที่สุดคือไปไหน แล้วเวลาที่ ไม่ว่าจะได้ยิน ได้ฟัง หรือมีการกระทำ หรือมีความคิดใดเกิดขึ้น แม้ขณะนั้น จะไม่ใช่คำว่า " วัดใจ " แต่ก็สามารถจะรู้ได้ ตามการสะสมของจิต ที่เกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องวัดใจ คุณอรรณพ ก็คงจะไม่ทราบว่า เวลาพูดอย่างนั้นน่ะ ใจเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ทราบแล้วใช่ไหมค่ะ
อ.อรรณพ เข้าใจดีมากขึ้นครับ เมื่อมีเหตุการณ์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะเกิดกุศลหรืออกุศลนี้ ก็จะเป็นเครื่องวัดใจ ว่าความมั่นคง มากน้อยเพียงใด และการสะสม พืชเชื้อของกิเลสนั้น ยังมีมากน้อยเพียงใด
เพราะฉะนั้น ความหวั่นไหว ตกใจ กังวลใจ ก็มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นได้ และเมื่อได้ทราบถึง ความเห็นของท่านอาจารย์ คือเรื่องก็มีอยู่ว่า บางครั้งท่านอาจารย์ ท่านก็เป็นผู้ที่อดทนและเป็นผู้ที่มุ่งถึงประโยชน์ของผู้ฟังทั้งวัน เช่นวันนี้ ก็ตั้งแต่เช้า
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เป็นไร เพราะจริงๆ ก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ...หรือเปล่า
อ.อรรณพ แต่พอได้ทราบความแยบคาย พูดถึงว่า ความตายก็เป็นของไม่แน่นอนเพราะฉะนั้น เวลาที่มีอยู่นี้ อะไรเป็นประโยชน์ เหมือนกับเป็นการเตือน ให้เกิดความเพียรที่จะให้กระทำประโยชน์ โดยไม่ปล่อยทิ้งเวลาไป เพื่อความสบาย เป็นการพักผ่อนของตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เฉพาะ ของดิฉันคนเดียว ทุกคนไม่ทราบว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร ทำประโยชน์ หรือ คุณความดี พอหรือยัง เพราะว่าแต่ละชีวิต เมื่อศึกษาธรรมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป มีปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่จะต้องเกี่ยวข้อง ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับใคร ด้วยกุศลจิต หรือ ด้วยอกุศลจิต ด้วยความมั่นคงในกุศลหรืออกุศล หรือว่าเอนเอียงไปในอกุศล นั่นเป็นเครื่องวัดจริงๆ แล้วคนอื่นไม่ต้องมาวัดด้วยนะค่ะ ตัวเองนั่นแหละรู้ ว่าขณะนั้น เป็นไปตามการสะสมมากของฝ่ายกุศล หรือฝ่ายอกุศล
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า เมื่อเกิดมาด้วยกุศลกรรม ผลของกุศลกรรม แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังธรรม เป็นคนดีพอหรือยัง หรือว่าควรจะทำความดีให้มากขึ้นกว่านี้อีก โดยเฉพาะในเรื่องที่จะเข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า เมื่อเกิดมาด้วยกุศลกรรม ผลของกุศลกรรม แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังธรรม เป็นคนดีพอหรือยัง หรือว่าควรจะทำความดีให้มากขึ้นกว่านี้อีก โดยเฉพาะในเรื่องที่จะเข้าใจธรรม
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
กราบอนุโมทนาค่ะ
การกระทำของแต่ละคน ความคิดหรือการตัดสินใจทั้งหมด ก็เป็นเครื่องวัดกุศลหรืออกุศลที่ได้สะสมมาแล้ว เพราะว่าแต่ละชีวิต เมื่อศึกษาธรรมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป มีปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่จะต้องเกี่ยวข้อง ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับใคร ด้วยกุศลจิต หรือ ด้วยอกุศลจิต ด้วยความมั่นคง ในกุศลหรืออกุศล หรือว่า เอนเอียงไปในอกุศล นั่นเป็นเครื่องวัดจริงๆ แล้วคนอื่นไม่ต้องมาวัดด้วยนะค่ะ ตัวเองนั่นแหละรู้ ว่าขณะนั้น เป็นไปตามการสะสมมากของฝ่ายกุศล หรือฝ่ายอกุศล.
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาคะ
กราบอนุโมทนา ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ