[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 418
๙. กุณฑกปูวชาดก
ว่าด้วยมีอย่างไรก็กินอย่างนั้น
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 418
๙. กุณฑกปูวชาดก
ว่าด้วยมีอย่างไรก็กินอย่างนั้น
[๑๐๙] "บุรุษกินอย่างไร เทวดาของบุรุษก็กินอย่างนั้น ท่านจงเอาขนมรำนั้นมา อย่าให้ส่วนของเราเสียไปเลย".
จบ กุณฑกปูวชาดกที่ ๙
อรรถกถากุณฑกปูวชาดกที่ ๙
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระนครสาวัตถี ทรงปรารภบุรุษผู้เข็ญใจอย่างหนัก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ยถนฺโน ปุริโส โหติ" ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในพระนครสาวัตถี บางครั้งสกุลเพียงสกุลเดียวเท่านั้น ถวายทานแต่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บางครั้งสามสี่ตระกูลรวมกัน บางครั้งด้วยความร่วมมือกันเป็นคณะ บางครั้งด้วยความร่วมใจกันของผู้ที่อยู่ร่วมถนน บางครั้งรวมคนที่มีฉันทะความพอใจหมดทั้งเมือง ถวายทานแต่พระสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ก็ในครั้งนั้น มีภัตรที่ชื่อว่า วิถีภัตร (คือการถวายภัตตาหารของผู้ที่อยู่ร่วมถนนกัน) ได้มีขึ้น ครั้งนั้นพวกมนุษย์กล่าวเชิญชวนกันว่า เชิญท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 419
ทั้งหลายถวายข้าวยาคู นำของขบเคี้ยวมาถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขกันเถิด ในกาลนั้น ยังมีลูกจ้างของคนเหล่าอื่นผู้หนึ่งเป็นคนยากจนอยู่ในถนนนั้น คิดว่า เราไม่อาจถวายข้าวยาคูได้ ของขบเคี้ยวพอจัดถวายได้ แล้วนวดรำชนิดละเอียดให้ชุ่มด้วยน้ำ ห่อด้วยใบรัก เผาในกองเถ้า คิดว่า เราจักถวายขนมนี้แด่พระพุทธเจ้า ถือขนมนั้นไปยืนอยู่ในสำนักพระศาสดา พอพระศาสดาตรัสครั้งเดียวว่า พวกท่านจงนำของขบเคี้ยวมาเถิด ก็ไปก่อนคนทั้งปวง ใส่ขนมนั้นในบาตรของพระศาสดา แล้วยืนอยู่ พระศาสดาไม่ทรงรับของขบเคี้ยวที่คนอื่นๆ ถวาย ทรงเสวยของขบเคี้ยว คือขนมนั้นเท่านั้น.
ในขณะนั้นเองทั่วทั้งพระนครก็ได้มีเสียงลือตลอดไปว่า ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรังเกียจของขบเคี้ยวทำด้วยรำของมหาทุคคตบุรุษ ทรงเสวยเหมือนเสวยอมฤตฉะนั้น อิสสรชนมีพระราชาและมหาอำมาตย์แห่งพระราชาเป็นต้นโดยที่สุดตลอดถึงคนเฝ้าประตู ประชุมกันทั้งหมดทีเดียว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว เข้าไปหามหาทุคคตบุรุษ พากันกล่าวว่า พ่อมหาจำเริญ เชิญพ่อรับเอาทรัพย์ร้อยหนึ่ง สองร้อย ห้าร้อย แล้วให้ส่วนบุญแก่พวกเราเถิด เขาตอบว่า ต้องกราบทูลสอบถาม แล้วถึงจะรู้ แล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลเนื้อความนั้น พระศาสดาตรัสว่า ท่านจงรับทรัพย์แล้วให้ส่วนบุญแก่สรรพสัตว์เถิด เขาเริ่มรับทรัพย์ พวกมนุษย์พากันให้ด้วยการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 420
ประมูล เป็นทวีคูณ จตุรคูณ และอัฏฐคูณเป็นต้น ได้ให้ทรัพย์กันถึงเก้าโกฏิ พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จไปวิหาร เมื่อพวกภิกษุแสดงวัตตปฏิบัติถวายแล้ว ประทานพระสุคโตวาท เสด็จเข้าพระคันธกุฎี เวลาเย็นวันนั้น พระราชารับสั่งให้มหาทุคคตบุรุษเข้าเฝ้า ทรงบูชาด้วยตำแหน่งเศรษฐี พวกภิกษุตั้งเรื่องสนทนากันในโรงธรรมว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดามิได้ทรงรังเกียจขนมรำที่มหาทุคคตบุรุษถวายเลย ทรงเสวยเหมือนอมฤต ฝ่ายมหาทุคคตบุรุษเล่า ได้ทั้งทรัพย์จำนวนมาก ได้ทั้งตำแหน่งเศรษฐี ถึงสมบัติอันยิ่งใหญ่แล้ว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ สนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เราไม่รังเกียจบริโภคขนมรำของเขา ถึงครั้งที่เป็นรุกขเทวดาในกาลก่อน ก็เคยบริโภคเหมือนกัน แม้ในครั้งนั้นเล่า เขาก็อาศัยเราได้ตำแหน่งเศรษฐีเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดา สถิต ณ ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในหมู่บ้านนั้นพากันยึดเอารุกขเทวดาเป็นมงคล เมื่อถึงงานมหรสพคราวหนึ่ง พวกมนุษย์ต่างพากันกระทำพลีกรรมแก่รุกขเทวดาของตนๆ ครั้งนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 421
มีทุคคตมนุษย์ผู้หนึ่ง เห็นคนเหล่านั้นพากันปรนนิบัติรุกขเทวดา ก็ปฏิบัติต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ผู้คนทั้งหลายพากันถือเอาดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้และของขบเคี้ยวของบริโภคเป็นต้นนานัปการไป เพื่อเทวดาทั้งหลายของตน ฝ่ายเขามีแต่ขนมรำ ก็ถือไปพร้อมกระบวยใส่น้ำ หยุดยืนไม่ไกลต้นละหุ่ง คิดว่า ธรรมดา (* เทวดา) ย่อมเสวยแต่ของขบเคี้ยวอันเป็นทิพย์ เทวดาคงจักไม่เสวยขนมรำนี้ของเรา เราจะยอมให้ขนมเสียหายไปด้วยเหตุนี้ทำไม เรานั่นแหละจักกินขนมนั้นเสียเอง แล้วก็หวลกลับไปจากที่นั้น พระโพธิสัตว์สถิตเหนือค่าคบกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ หากท่านเป็นใหญ่เป็นโต ก็ต้องให้ของขบเคี้ยวที่อร่อยแก่เรา แต่ท่านเป็นทุคคตะ เราไม่กินขนมของท่านแล้ว จักกินขนมอื่นได้อย่างไร อย่าให้ส่วนของเราต้องเสียหายไปเลย แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.
"บุรุษกินอย่างไร คนของบุรุษก็กินอย่างนั้น ท่านจงเอาขนมรำนั้นมา อย่าให้ส่วนของเราเสียไปเลย" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถนฺโน ความว่า คนบริโภคอย่างใด.
บทว่า ตถนฺนา ความว่า แม้เทวดาของคนผู้นั้นก็บริโภคอย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า อาหเรตํ กุณฺฑปูวํ ความว่า ท่านจงนำเอาขนมที่ทำด้วยรำนั้นมาเถิด อย่าทำลายส่วนได้ของเราเสียเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 422
เขาหันกลับมามองพระโพธิสัตว์แล้วกระทำพลีกรรม พระโพธิสัตว์ก็บริโภคโอชาจากขนมนั้น แล้วกล่าวว่า ดูก่อนบุรุษ ท่านปฏิบัติเราเพื่อต้องการอะไร เขากล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ มาปรนนิบัติก็ด้วยหมายใจว่า จะอาศัยท่าน แล้วพ้นจากความเป็นทุคคตะ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านอย่าคิดเสียใจไปเลย ท่านทำการบูชาเราผู้มีกตัญญูกตเวที รอบต้นละหุ่งนี้ มีหม้อใส่ขุมทรัพย์ตั้งไว้เรียงราย จวบจนจรดถึงคอ ท่านจงกราบทูลพระราชา เอาเกวียนมาขนทรัพย์กองไว้ ณ ท้องพระลานหลวง พระราชาก็จักโปรดปรานประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่ท่าน ครั้นบอกแล้ว พระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป เขาได้กระทำตามนั้น แม้พระราชาก็โปรดประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เขา เขาอาศัยพระโพธิสัตว์ถึงสมบัติอันใหญ่หลวง แล้วไปตามยถากรรมด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ทุคคตบุรุษในครั้งนั้น มาเป็นทุคคตบุรุษในครั้งนี้ ส่วนเทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นละหุ่ง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุณฑกปูวชาดกที่ ๙