ถ้าคนเราเกิดมาบนแผ่นดินประเทศนั้น ต่อมาได้เป็นใหญ่ปกครองบ้านเมือง แต่กลับเป็นผู้ทำหลายประเทศชาติ กอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวเองโดยไม่คิดว่าประเทศชาติและประชาชนจะเป็นอย่างไร เขาจะได้รับผลกรรมหนักแค่ไหน ตายไปจากชาตินี้จะเกิดในนรกก่อนหรือไม่ หรือแล้วแต่ตอนใกล้จะตายว่าเขาคิดถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วก่อน แล้วชาตินี้เขาจะได้รับผลกรรมนั้นหรือไม่ เพราะบางคนเรายังเห็นเขาลอยนวลอยู่อย่างสบาย
ตามหลักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้คือ ผู้ที่กระทำอกุศลกรรมไว้ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ผลโดยตรงทำให้เกิดในอบายภูมิคือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ภูมิใดภูมิหนึ่ง เศษของอกุศลกรรมที่เหลือเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเบียดเบียนให้เดือดร้อนและอกุศลกรรมที่ทำในชาตินี้ อาจให้ผลในชาตินี้ก็ได้ อนึ่งผู้ที่ทำอกุศลกรรม ในชาตินี้เขาอาจมีชีวิตอยุ่อย่างมีความสุข เพราะผลบุญเก่าของเขา แต่มิได้หมายความว่าอกุศลกรรมจะไม่ให้ผล เมื่ออกุศลกรรมให้ผลเขาย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมย่อมยุติธรรมเสมอครับ
คนที่ทำชั่ว ต้องได้รับผลกรรมชั่วแน่นอน แต่ต้องขึ้นอยู่กับคติ เช่น ยังเป็นมนุษย์ ฯลฯ อุปธิคือ รูปร่าง ทรวดทรง กาลคือ บ้านเมืองเจริญ ปโยคคือความเพียร คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้งตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ต่อเมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นคนพาลย่อมประสบทุกข์และรู้ว่าบาปนั้นไม่ดีเลยค่ะ
กรรมให้ผลช้า คนจึงไม่เกรงกลัวต่อบาป ขนาดโกงกินประเทศชาติ ก็ไม่มีบทลงโทษอะไร โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งหลายที่ทุจริต พอถูกจับได้ก็แค่ลาออก แล้วก็เข้าไปใหม่ ส่วนประชาชนพอทำผิดบ้าง เช่น ลักทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ ยังต้องรับโทษตามกฎหมาย เช่นติดคุก แต่นักการเมืองทำผิดโกงกินเงินหลวงจนบ้านเมืองพังพินาจ รับผิดชอบแค่การลาออก คิดแล้ว มันไม่ยุติธรรมเลย นักการเมืองเหล่านี้เขาอยู่เหนือกฎหมายหรืออย่างไร
สาธุ
ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม แต่เนื่องจากว่าในสังสารวัฏฏ์ ไม่ได้สั่งสมมาเฉพาะกุศลเพียงอย่างเดียว ยังได้สั่งสมมาทั้งอกุศลด้วย จะเห็นได้จากอัธยาศัยหรือพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล ที่เป็นไปทั้งในทางที่ดีและในทางที่ไม่ดี (ก่อความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่น) ถ้าเป็นผู้ที่มากไปด้วยอกุศล และกำลังของอกุศลมีมากขึ้นๆ โอกาสของการกระทำอกุศลกรรมก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งถ้าเป็นผู้ที่ห่างเหินจากการศึกษาพระธรรม ห่างเหินจากการฟังพระธรรม ห่างเหินจากการอบรมเจริญปัญญา โอกาสของการเจริญกุศลแทนการกระทำอกุศลกรรม ย่อมจะเป็นไปได้ยาก ดังนั้น โอกาสที่ดีทีสุดในชีวิต คือ ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะเป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ขัดเกลา ละคลายอกุศลให้เบาบางลงได้
กรรม ยุติธรรมที่สุดในการให้ผล ผู้ที่ประพฤติทุจริต กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่าสร้างเหตุที่ไม่ดี เมื่อสร้างเหตุไว้ไม่ดี ผลที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นผลที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ดังที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงไว้ในอกุศลสูตรว่า "บุคคล ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ย่อมอุบัติในนรก เหมือนถูกนำตัวไปเก็บไว้ ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการคือ กายกรรมเป็นอกุศล วจีกรรมเป็นอกุศล มโนกรรมเป็นอกุศล บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่านี้แล ย่อมอุบัติในนรก เหมือนถูกนำตัวไปเก็บไว้ ฉะนั้น" ดังนั้น ตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญขึ้น จนกระทั่งถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด จะเป็นผู้ที่ประมาทกำลังของอกุศลไม่ได้เลย ครับ
..
ขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีสัตว์บุคคล มีแต่เจตนาที่เป็นกรรม เจตนาที่เป็นกุศล เจตนาที่เป็นอกุศล เมื่อมีเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมและล่วงออกมาทางกาย วาจา ผลของกรรมย่อมมี เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม อาจให้ผลในชาตินี้ ชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไปก็ได้ตามเหตุปัจจัย
หากแต่ว่าประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือ ความเข้าใจและน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อเห็นบุคคลอื่นทำอกุศลแล้วควรจะเห็นใจ สงสารบุคคลนั้นมากกว่า เพราะเขาประกอบเหตุที่ไม่ดีสำหรับตนเอง และจะต้องได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี กับคนดีเราเห็นใจ สงสารได้ แต่กับคนไม่ดียิ่งควรสงสารเป็นพิเศษ ดังนั้น การได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวในชีวิตประจำวันจึงเป็นเครื่องทดสอบกำลังของปัญญาได้เป็นอย่างดี ควรมีเมตตาและเห็นใจกันไม่เลือกบุคคล
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่. ธรรมเตือนใจ..สำหรับผู้ดูทีวี ฟังข่าวและ..
เรื่อง ชน ๓ คนว่าด้วย สถานที่พ้นจากกรรมไม่มี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันทรงปรารภชน ๓ คนได้ตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ว่า คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไป (คือยืนอยู่) ในอากาศก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่ว หนีไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่ว หนีไปอยู่ในซอกภูเขาก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่ว เขาอยู่ในประเทศแห่งแผ่นดินใดพึงพ้นจากกรรมชั่วประเทศแห่งแผ่นดินนั้น ย่อมไม่มี ดังนี้ฯ
โดยส่วนตัว ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าความยุติธรรมใดๆ เสมอด้วยผลของกรรมไม่มีดังนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่เพ่งกรรมของผู้อื่นที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยแต่ควรพึงระวังในกรรมของตนให้มากเพราะตราบใดที่ยังไม่ใช่โสดาบันยังทำกรรมชั่วได้ทุกเมื่อหากมีเหตุปัจจัยเช่นเดียวกับผู้อื่นเหมือนกันนะคะ
สาธุ
บางโอกาส ได้ดูข่าวสารต่างๆ ก็เกิดโทสะเช่นเดียวกัน หลายคนอาจคิดเหมือนกันคือ ห่วงประเทศชาติ ห่วงโลก แต่พอคิดได้ว่า สิ่งใดต้องเกิดก็เกิด เราห้ามไม่ได้ ในเมื่อเราห้ามเขาไม่ได้ก็ให้วางเฉยจะได้ไม่เกิดอกุศลท่านอาจารย์สอนให้เราเจริญกุศลทุกประการ ด้วยเหตุว่าเมื่อเราเจริญกุศล เราก็จะทำแต่สิ่งที่ดีงาม ผู้อื่นเขาทำกรรมเขาต้องรับแน่ๆ ให้เราเจริญเมตตาต่อผู้นั้นว่า เขาต้องชดใช้กรรมแน่ อย่ารอไปสงสารตอนเขารับกรรม ให้สงสารเขาตอนทำกรรมชั่ว สงสารเพราะเขาไม่รู้ว่าต้องชดใช้กรรมนั้นๆ โดยกรรมนั้นจะมีดอกผลงอกออกมาตามเวลาที่กรรมนั้นรอที่จะให้ผลที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามทำตามที่ท่านอาจารย์สอนค่ะบางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้ แต่ทุกทีก็รู้ตัวค่ะว่ายังเป็นอกุศล
อย่างที่คุณ wannee.s เขียนไว้ค่ะ
คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้งตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ต่อเมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นคนพาลย่อมประสบทุกข์และรู้ว่าบาปนั้นไม่ดีเลยค่ะ
เราเป็นผู้กำลังศึกษาพระธรรมและยังเป็นปุถุชน ระวังบาปอกุศลของตัวเองดีกว่าค่ะ
เขาเหล่านั้นไม่รู้ผลของอกุศลกรรมจึงไม่กลัว คิดดูแล้วน่าสงสารมากกว่า ส่วนดิฉันนั้นกลัวผลของอกุศลกรรม เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เห็นได้ชัดว่าคงทำอะไรไม่ดี เป็นบาป เป็นอกุศลมามากมายจริงๆ
อะไรจะยุติธรรมเท่าการให้ผลของกรรม ไม่มีอีกแล้ว
ขออนุโมทนาผู้เจริญกุศลทุกท่านค่ะ