พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 376 ๙. ภิกขุนีสูตร ว่าด้วยภิกษุณีส่งบุรุษไปหาพระอานนท์
[๑๕๙] สมัยหนึ่ง พระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเรียกบุรุษผู้หนึ่งมาสั่งว่า มานี่แน่ะท่าน ขอท่านจงไปหาพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ ไปถึงแล้วจงกราบเท้าพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ตามคำของข้าพเจ้าว่า ภิกษุณีชื่อนี้อาพาธเสวยทุกขเวทนาเป็นไข้หนัก เธอกราบเท้าพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ ดังนี้แล้วจงกราบเรียนว่า สาธุ ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์จงได้กรุณาไปเยี่ยมภิกษุณีนั้น ณสำนักภิกษุณีด้วยเถิด ฯลฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า พระอานนท์ครองสบงแล้วถือบาตรและจีวรไปสำนักภิกษุณี ภิกษุณีรูปนั้นเห็นท่านแต่ไกล (แสร้ง) นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงท่านเข้าไปถึงที่ภิกษุณีนั้นแล้ว นั่ง ณ อาสนะที่เขาจัดไว้ ครั้นนั่งแล้วจึงกล่าว กะภิกษุณีนั้นว่า ดูก่อนน้องหญิง ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยอาหาร เธอพึงอาศัยอาหารละอาหารเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยมานะ เธอพึงอาศัยมานะละมานะเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยเมถุน ควรละเมถุนนั้นเสีย เมถุนนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ชักสะพานเสีย ฯลฯ ก็ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย นี้ เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ได้ยินข่าวว่าภิกษุชื่อนั้น เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่ เธอมีความปรารถนาว่า เมื่อไรนะ เราจักทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ ฯลฯสำเร็จอยู่ในปัจจุบันบ้าง ต่อมาเธอก็อาศัยตัณหาละตัณหาเสีย น้องหญิง ข้อที่ว่า ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย นี้ เราอาศัยข้อนี้แลกล่าวแล้ว ฯลฯ
ข้อความอธิบายจากอรรถกถา บทว่า ตณฺหํ ปชหติ ความว่า บุคคลอาศัยตัณหาอันเป็นปัจจุบันที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ ในบัดนี้ย่อมละบุพตัณหาอันมีวัฏฏะเป็นมูล. ถามว่า ก็ตัณหาอันเป็นปัจจุบันนี้เป็นกุศลหรืออกุศล.ตอบว่า เป็นอกุศล. ถามว่า ควรเสพหรือไม่ควรเสพ. ตอบว่า ควรเสพ.ถามว่า จะชักปฏิสนธิมาหรือไม่ชักมา. ตอบว่า ไม่ชักมา. แต่ควรละความใคร่ในตัณหาที่ควรเสพ อันเป็นปัจจุบันแม้นี้เสียทีเดียว. ฯ
สาธุ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ