[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑
อรรถกถา มาติกานุบุพบท
อรรถกถามาติกานุบุพบท 148
ว่าด้วยสัปปเทสะและนิปปเทส 150
อธิบายธรรมเป็นกุศลติกะที่ ๑ 151
วิเคราะห์ศัพท์ว่ากุศลและธรรม 153
ว่าด้วยสุขเวทนาติกะที่ ๒ 156
ว่าด้วยทุกขเวทนา 157
ว่าด้วยความหมายของศัพท์ 158
ว่าด้วยสัมปยุต 158
ว่าด้วยวิปากติกะที่ ๓ 159
ว่าด้วยอุปาทินนติกะที่ ๔ 159
ว่าด้วยสังกิลิฏฐติกะที่ ๕ 160
ว่าด้วยวิตักกติกะที่ ๖ 160
ว่าด้วยปิติติกะที่ ๗ 161
ว่าด้วยทัสสนติกะที่ ๘ 161
ว่าด้วยทัสสนเหตุติกะที่ ๙ 162
ว่าด้วยอาจยคามิติกะที่ ๑๐ 163
ว่าด้วยเสกขติกะที่ ๑๑ 164
ว่าด้วยปริตตติกะที่ ๑๒ 164
ว่าด้วยปริตตารัมมณติกะที่ ๑๓ 165
ว่าด้วนหีนติกะที่ ๑๔ 165
ว่าด้วยมิจสฉัตตติกะที่ ๑๕ 165
ว่าด้วยมัคคารัมมณติกะที่ ๑๖ 166
ว่าด้วยอุปปันนติกะที่ ๑๗ 166
ว่าด้วยอตีตติกะที่ ๑๘ หน้า 167
ว่าด้วยอนันตรติกะที่ ๑๙ 167
ว่าด้วยอัชฌัตตติกะที่ ๒๐ 167
ว่าด้วยนิทัสสนติกะที่ ๒๒ 169
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 75]
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 148
อรรถกถามาติกานุบุพบท (๑)
บัดนี้ ถึงโอกาสการกล่าวอภิธรรมกถาตามที่ข้าพเจ้าให้ปฏิญญาไว้อย่างนี้ว่า
เมื่อข้าพเจ้ากล่าวอภิธรรมกถานี้อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ ขอสาธุชนทั้งหลายอย่าฟุ้งซ่าน จงตั้งใจสดับฟัง เพราะกถาเช่นนี้หาฟังได้ยากนัก.
ในอภิธรรมกถานั้น ปกรณ์ ๗ มีอภิธรรมสังคณีเป็นต้น ชื่อว่าอภิธรรม แม้ในธรรมสังคณีก็จําแนกเป็น ๔ กัณฑ์ มีจิตตุปปาทกัณฑ์เป็นต้นถึงจิตตุปปาทกัณฑ์นั้น มีมาติกาเป็นเบื้องต้น ถึงมาติกานั้นก็ยังแบ่งเป็น ๒ คือ ติกมาติกา และทุกมาติกา. ในมาติกาทั้ง ๒ อย่างนั้น ติกมาติกาเป็นเบื้องต้น แม้ในติกมาติกาก็มีกุศลติกะเป็นเบื้องต้น ถึงในกุศลติกะก็มีบทนี้ว่า กุสลาธมฺมา เป็นเบื้องต้น เพราะฉะนั้น
ตั้งแต่แต่นี้ไป ขอท่านสาธุชนทั้งหลายจงมีจิตสงบ ตั้งใจสดับฟังอภิธรรมกถาอันลึกซึ้งนี้ ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวอยู่ให้ดีเถิด.
(๑) เริ่มอธิบายติกมาติกา ๒๒ ติกะ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 149
ติกะที่ได้ชื่อเพราะบทเบื้องต้น ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา นี้ ชื่อว่า กุศลติกะก่อน ติกะที่ได้ชื่อเพราะบททั้งปวงว่า สุขาย เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตาธมฺมา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา นี้ ชื่อว่า เวทนาติกะ บัณฑิตพึงทราบชื่อติกะและทุกะ แม้มาติกาทั้งปวงด้วยสามารถแห่งบทเบื้องต้นหรือบททั้งหมด ด้วยประการฉะนี้.
ติกะและทุกะเหล่านั้นแม้ทั้งหมดท่านแยกไว้ ๑๕ ปริจเฉท คือ ติกะมี ๑ ปริจเฉท ทุกะมี ๑๔ ปริจเฉท. ทุกะ ๖ มีคําว่า เหตู ธมฺมา น เหตู ธมฺมา เป็นต้น เรียกว่า เหตุโคจฉกะ เพราะท่านตั้งไว้เหมือนพวงดอกกรรณิการ์โดยการเกี่ยวเนื่องกันและกันทั้งโดยคัมภีร์ และโดยอรรถกถา ต่อจากนั้นไป ทุกะ ๗ ทุกะ มีคําอาทิว่า สปฺปจฺจยา ธมฺมา อปฺปจฺจยา ธมฺมา ดังนี้เป็นทุกะไม่เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน พึงทราบว่า เป็นจูฬันตรทุกะ เพราะท่านเลือกทุกะที่เหมือนกันล้วนตั้งไว้ตามลําดับของโคจฉกะ และเพราะเป็นทุกะที่น้อยกว่าในระหว่างทุกะเหล่าอื่น. ต่อจากนั้น พึงทราบว่าเป็น อาสวโคจฉกะ ด้วยสามารถแห่งทุกะ ๖ มีอาสวทุกะเป็นต้น. พึงทราบสัญโญชนโคจฉกะด้วยสามารถแห่งทุกะ ๖ มีสัญโญชนทุกะเป็นต้น. อนึ่ง พึงทราบคัณฐโคจฉกะ โอฆโคจฉกะ โยคโคจฉกะ และนีวรณโคจฉกะ ด้วยสามารถแห่งทุกะ ๖ มีคัณฐะ โอฆะ โยคะ และนีวรณทุกะเป็นต้น. พึงทราบปรามาสโคจฉกะ ด้วยสามารถแห่งทุกะ ๕ มีปรามาสทุกะเป็นต้น. ต่อจากนั้น ทุกะ ๑๔ มีคําเป็นต้นว่า สารมฺมณา ธมฺมา ชื่อว่า มหันตรทุกะ จากนั้นทุกะ ๘ มีกิเลสทุกะเป็นต้น ชื่อว่า กิเลสทุกะ. ต่อจากนั้น ทุกะ ๑๘ มี ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 150
เป็นต้น ชื่อว่า ปิฏิฐทุกะ เพราะท่านดังไว้ในที่สุดแห่งอภิธรรมมาติกา. ส่วนทุกะ ๔๒ มีคําว่า วิชฺชาภาคิโน ธมฺมา อวิชฺชาภาคิโน ธมฺมา เป็นต้นชื่อว่า สุตตันตทุกะ ติกะและทุกะเหล่านี้แม้ทั้งหมด พึงทราบว่าท่านกําหนดไว้ ๑๕ ปริจเฉท ดังพรรณนามาฉะนี้.
ว่าด้วยสัปปเทสะ และนิปปเทสะ
ก็ติกะและทุกะเหล่านี้ ท่านกําหนดไว้อย่างนี้แล้ว ยังแยกออกเป็น ๒ โกฏฐาส คือ สัปปเทสะ (แสดงไว้ไม่หมด) และนิปปเทสะ (แสดงโดยสิ้นเชิง) เท่านั้น. จริงอยู่ บรรดาส่วนทั้ง ๒ นั้น ติกะ ๙ และทุกะ ๗๑ ชื่อว่าสัปปเทสะ เพราะท่านกําหนดรูปธรรมและอรูปธรรมไว้ยังไม่หมด. ติกะ ๑๓ ที่เหลือ และทุกะ ๗๑ ชื่อว่า นิปปเทสะ. บรรดาธรรมทั้ง ๒ นั้น ติกะ ๙ เหล่านั้น คือ เวทนาติกะ วิตักกติกะ ปีติติกะ อุปปันติกะ อตีตติกะ และอารัมมณาติกะ ชื่อว่า สัปปเทสะ. ในทุกะทั้งหลาย ในที่สุดแห่งโคจฉกะ ๙ มีเหตุโคจฉกะเป็นต้น มีอุปาทานโคจฉกะเป็นที่สุด มีโคจฉกะละ ๓ ทุกะ ในที่สุดแห่งกิเลสทุกะ มีโคจฉกะละ ๔ ทุกะ มหันตรทุกะอย่างละ ๒ คือ จิตฺตสมฺปยุตฺตา ธมฺมา จิตฺตวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา จิตฺตสํ สฏฺาธมฺมาจิตฺตวิสํ สฏฺา ธมฺมา และในสุตตันตทุกะทั้งหลายเว้นทุกะ ๔ เหล่านี้คือ อธิวจนทุกะ นิรุตติทุกะ ปัญญัตติทุกะ นามรูปทุกะ ก็ทุกะ ๓๘ ที่เหลือเหล่านั้น ชื่อว่า สัปปเทสะ บัณฑิตพึงทราบติกะและทุกะที่เหลือตามที่กล่าวแล้วแม้ทั้งหมดว่าเป็น นิปปเทสะ ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 151
อธิบายธรรมเป็นกุศลติกที่ ๑ (๑)
บัดนี้ เป็นการพรรณนาบทตามบทมาติกา มีคําว่า กุสลา ธมฺมา เป็นต้นนี้. กุศลศัพท์ใช้ในอรรถว่า ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษความฉลาด และมีสุขเป็นวิบาก. จริงอยู่ กุศลศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่าความไม่มีโรคดังในประโยคมีอาทิว่า กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ กจฺจิ โภโต อนามยํ (ความไม่มีโรค มีแก่ท่านผู้เจริญบ้างหรือ ความไม่ป่วยไข้ มีแก่ท่านผู้เจริญบ้างหรือ). ใช้ในอรรถว่า ความไม่มีโทษ ดังในประโยคมีอาทิว่า กตโม ปน ภนฺเต กายสมาจาโร กุสโล โย โข มหาราช กายสมาจาโร อนวชฺโช ... (ข้าแต่ท่านพระอานนท์ กายสมาจารที่เป็นกุศลเป็นไฉน ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารที่ไม่มีโทษแล ข้าแต่ท่านผู้เจริญยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในธรรมทั้งหลายอันไม่มีโทษ). ใช้ในอรรถว่า ความฉลาด ในประโยคมีอาทิว่า กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคานํ กุสลา นจฺจคีตสฺส สุสิกฺขตา จตุริตฺถิโย (ท่านเป็นผู้ฉลาดในเครื่องประกอบของรถ และคําว่า หญิง ๔ คนศึกษาดีแล้ว เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรํา ขับร้อง) ใช้ในอรรถว่า สุขวิบาก
(๑) ได้แก่กุศลจิต ๒๑ เจตสิก ๓๘ แจกเป็นขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ สัจจะ ๒ คือ เจตสิก๓๘ นั้น เวทนาเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือ ๓๖ เป็นสังขารขันธ์กุศลจิต ๒๑ เป็นวิญญาณขันธ์. ได้อายตนะ ๒ คือกุศลจิต ๒๑ เป็นมนายตนะ เจตสิก ๓๘ เป็นธัมมายตนะ ได้ธาตุ ๒ คือกุศลจิต ๒๑ เป็นมโนวิญญาณธาตุ เจตสิก ๓๘ เป็นธรรมธาตุได้สัจจะ ๒ คือโสกิยกุศลจิต ๑๗ เจตสิก ๓๘ เป็นทุกขสัจจะ องค์มรรค ๘ ในปฐมฌานมรรคหรือองค์มรรค ๗ ในทุติยฌานมรรคขึ้นไปเป็นมัคคสัจจะ ส่วนธรรมที่เหลือในกุศลบทนี้ ๒๙ เป็นสัจจวิมุตติ (พ้นจากสัจจะ ๔) คือโลกุตตรจิต ๔ ตามลักษณะจิตนับเป็น ๑ เจตสิกที่เหลือจากองค์มรรค ๘ อีก ๒๔ รวมมัคคจิตตุปบาท ๒๙.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 152
ดังในประโยคมีอาทิว่า กุสลานํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ สมาทานเหตุ กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสมาทานธรรมทั้งหลายที่เป็นสุขวิบาก และคําว่า เพราะทํากรรมที่เป็นสุขวิบาก) ในที่นี้ กุศลศัพท์ควรใช้ในอรรถว่า ไม่มีโรคบ้าง ไม่มีโทษบ้าง ในสุขวิบากบ้าง.
ธัมมศัพท์แม้นี้ ใช้ในอรรถว่า ปริยัติ เหตุ คุณ และนิสสัตตนิชชีวะเป็นต้น. จริงอยู่ ธัมมศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่า ปริยัติ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ เคยฺยํ (กุลบุตรย่อมเล่าเรียนปริยัติคือ สุตตะ เคยยะ) . ใช้ในอรรถว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เหตุมฺหิาณํ ธมฺมปฏิสมฺภิทา (ญาณในเหตุ ชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา) . ใช้ในอรรถว่า คุณ เช่นในคาถามีอาทิว่า
น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน
อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ.
ธรรมและอธรรม ทั้งสองมีวิบาก
เสมอกันหามิได้ อธรรมย่อมนําไปสู่นรก ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ.
ใช้ในอรรถว่า นิสสัตตนิชชีวะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตสฺมึ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วีหรติ (ก็สมัยนั้นแล นิสสัตตนิชชีวธรรมทั้งหลายย่อมมี และคําว่า ภิกษุมีปกติพิจารณาเห็นนิสสัตตนิชชีวธรรมทั้งหลายอยู่) แม้ในที่นี้ ธัมมศัพท์ควรใช้ในอรรถว่า นิสสัตตนิชชีวะเท่านั้น.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 153
วิเคราะห์ศัพท์ว่า กุศล และธรรม
พึงทราบความหมายของคําว่า กุศล เป็นต้นในที่นี้.
สภาวะที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ยังปาปกธรรมอันบัณฑิตเกลียดให้ไหว ให้เคลื่อนไป ให้หวั่นไหว คือให้พินาศ. อีกอย่างหนึ่ง สภาวธรรมใด ย่อมผูกพันโดยอาการที่บัณฑิตเกลียด สภาวธรรมนั้น ชื่อว่า กุสะ ธรรมที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมถอนขึ้น คือย่อมตัดกุสะ กล่าวคืออกุศลเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ญาณ ชื่อว่า กุสะ เพราะทําอกุศลอันบัณฑิตเกลียดให้สิ้นสุด หรือเบาบาง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่าอันญาณชื่อกุสะนั้นพึงตัด คือ พึงถือเอา พึงให้เป็นไปทั่วด้วยกุสญาณนั้น. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ธรรมแม้เหล่านี้ ย่อมตัดส่วนสังกิเลสที่ถึงส่วนทั้งสอง คือ ที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิด เหมือนหญ้าคาย่อมบาดส่วนแห่งมือที่ลูบคมหญ้าทั้งสอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมตัด คือ ย่อมทําลายอกุศลเหมือนหญ้าคา ฉะนั้น.
ส่วนภาวะที่ชื่อว่า ธรรม เพราะอรรถว่า ย่อมทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ธรรม เพราะอรรถว่า อันปัจจัยทั้งหลายทรงไว้ หรือว่าย่อมทรงไว้ตามสภาวะ ธรรมที่ชื่อว่า อกุศล เพราะอรรถว่า ไม่ใช่กุศล. อธิบายว่า ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกุศล เหมือนอมิตรเป็นปฏิปักษ์ต่อมิตร อโลภะเป็นต้นเป็นปฏิปักษ์ต่อโลภะเป็นต้น. ธรรมที่ชื่อว่า อัพยากตะ เพราะอรรถว่า ไม่กระทําให้แจ้ง อธิบายว่า ท่านไม่กล่าวไว้โดยความเป็นกุศลและอกุศล. ในบรรดาธรรมทั้งสามนั้น กุศลมีความไม่มีโทษและมีวิบากเป็นสุขเป็นลักษณะ. อกุศลมีโทษและมีทุกข์เป็นวิบากเป็นลักษณะ อัพยากตะมีอวิบากเป็นลักษณะ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 154
ถามว่า บทเหล่านั้น คือ กุสลา หรือว่า ธมฺมา เป็นต้น มีอรรถอย่างเดียวกัน หรือมีอรรถต่างกัน.
ตอบว่า ในข้อนี้เป็นอย่างไร ถ้าภาระทั้งสองนี้มีอรรถเป็นอันเดียวกัน คําว่า กุสลา ธมฺมา นี้ก็จะเป็นเช่นกับกล่าวคําว่า กุศล กุศลถ้าว่ามีอรรถต่างกันก็จะปรากฏว่า ติกะและทุกะ เป็นฉักกะและจุตกะ และบททั้งหลายก็ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เหมือนเขากล่าวว่า กุศล รูป คนมีจักษุ เมื่อบททั้งหลายไม่ส่องความถึงกันและกันด้วยสามารถแห่งอรรถ ความเกี่ยวข้องกันอะไรๆ ก็ไม่มี แม้ในคําว่า กุสลา ธมฺมา เป็นต้นนี้ก็เหมือนกัน บททั้งหลายจะไม่สัมพันธ์กัน และบททั้งหลายเว้นจากการสัมพันธ์ในบทเบื้องต้นและเบื้องปลายแล้ว ชื่อว่าประโยชน์ย่อมไม่มี และต่อไปก็จะขัดแย้งกับคําถามที่ว่า กตเม ธมฺมา กุสลา เพราะว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่กุศล ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้พระภาคเจ้าจึงตรัสคํานี้ว่า กตเม ธมฺมา กุสลา. อีกนัยหนึ่ง ถ้าบททั้งหลายเหล่านี้มีอรรถอย่างเดียวกัน แม้ความที่ธรรมทั้ง ๓ มีกุศลเป็นต้น ก็จะปรากฏเป็นเช่นเดียวกัน จริงอยู่ ธรรมทั้ง ๓ มีบทแห่งกุศลเป็นต้น ย่อมปรากฏเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นธรรม เพราะฉะนั้น แม้กุศลเป็นต้นอันมีความหมายไม่ต่างกันโดยอรรถกันธรรม ๓ อย่าง ก็จะปรากฏเป็นอย่างเดียวกันไป คือคําใดเป็นกุศล คํานั้นเป็นอกุศล เป็นอัพยากตะ ถ้าหากไม่ยอมรับธรรม ๓ อย่าง เป็นอย่างเดียวกัน ก็จะต้องกล่าวว่า ธรรมที่มีศัพท์ว่า กุศล อยู่ข้างหน้าเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมที่มีศัพท์ว่า อกุศล อยู่ข้างหน้าก็เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมที่มีอัพยากตะอยู่ข้างหน้าก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาวะก็ดี อภาวะอื่นนอกจากภาวะก็ดี ก็ชื่อว่า ธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมที่มีอกุศลศัพท์ข้างหน้า ก็นอกไปจากธรรมที่มีกุศลศัพท์อยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นภาวะก็จะพึงเป็นอภาวะไป
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 155
แม้ธรรมที่มีอัพยากตะอยู่ข้างหน้า แม้ธรรมมีกุศลศัพท์อยู่ข้างหน้าอื่น ก็เป็นอภาวะเหมือนกัน แม้กุศลเป็นต้นเหล่าอื่นนอกจากธรรมที่ถึงความเป็นอภาวะอย่างนี้ ก็พึงเป็นอภาวะนั่นแหละ คํานั้นทั้งหมดไม่ใช่เหตุสําคัญ.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะคําทั้งหมดนั้นสําเร็จโดยโวหารที่รู้กัน.
จริงอยู่ โวหารที่เขารู้กัน รับรองกันในอรรถทั้งหลายโดยประการใดๆ ก็สําเร็จได้โดยประการนั้นๆ นั่นแหละ ก็การกล่าวถึงธรรมที่มีกุศลเป็นบทหน้า และการกล่าวถึงกุศลศัพท์ที่มีธรรมเป็นบทหลัง ในคําเป็นต้นว่า กุสลา ธมฺมา ดังนี้ บัณฑิตทั้งหลายไม่ยอมรับ เพราะไม่มีความหมายต่างกันของตน เหมือนอย่างที่ไม่รับรองคําอย่างนี้ว่า กุสลา กุสลา และไม่รับรองว่ามีอรรถะที่ส่องถึงกันและกัน ดุจศัพท์ว่า กุสลา รูปํ จกฺขุมา (กุศล รูป คนมีจักษุ) .
ส่วนกุศลศัพท์ ในคําว่า กุสลา ธมฺมา นี้ บัณฑิตรับรองแล้วโดยส่องถึงอรรถ คือความไม่มีโทษ และมีสุขเป็นวิบาก. อกุศลศัพท์ บัณฑิตรับรองแล้วโดยความส่องถึงอรรถว่า เป็นโทษและมีทุกข์เป็นวิบาก. อัพยากตศัพท์ บัณฑิตรับรองโดยความส่องถึงอรรถว่า ไม่มีวิบาก. ธัมมศัพท์ บัณฑิตรับรองโดยความส่องถึงอรรถว่า มีการทรงไว้ซึ่งภาวะของตนเป็นต้น. ธัมมศัพท์นั้น เมื่อท่านกล่าวไว้ในระหว่างศัพท์เหล่านั้นศัพท์ใดศัพท์หนึ่ง ก็ย่อมแสดงถึงความเสมอกันแห่งอรรถของตน จริงอยู่ศัพท์เหล่านี้ทั้งหมด ชื่อว่า ธรรม เพราะมีการทรงไว้ซึ่งภาวะของตนเป็นต้นเป็นลักษณะ และแม้กุศลศัพท์เป็นต้น ที่ท่านกล่าวอยู่ข้างหน้าของธัมมศัพท์ ก็ย่อมส่องถึงความแปลกกันของอรรถของธัมมศัพท์นั้นของตน.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 156
จริงอยู่ ธรรมเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี ศัพท์เหล่านั้นทั้งหมด เมื่อกล่าวแยกกัน บัณฑิตทั้งหลายในโลก ก็รับรองเพียงส่องความหมายของตนๆ เมื่อกล่าวรวมกัน ก็ยอมรับเนื้อความที่เสมอกับของตนและความที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น คําใดที่ท่านกําหนดถึงเนื้อความที่เป็นอันเดียวกันและต่างกันในคําว่า กุสลา ธมฺมา นี้ และกระทําให้เป็นข้อที่ควรตําหนิ คําทั้งหมดนั้น จึงไม่ใช่เหตุสําคัญด้วยประการฉะนี้. การพรรณนาตามบทกุสลติกะเพียงเท่านี้ก่อน. แม้ติกะและทุกะที่เหลือ ก็พึงทราบโดยนัยนี้แล.
ว่าด้วยสุขเวทนาติกะที่ ๒
ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจักกล่าวถึงข้อที่แตกต่างกันเท่านั้น. เบื้องต้นนี้ สุขศัพท์ ในคําว่า สุขาย เวทนา เป็นต้น ท่านใช้ในความหมายหลายอย่างมีคําว่า สุขเวทนา สุขมูล สุขารมณ์ สุขเหตุ สุขปัจจยฐานอัพยาปัชฌะ และนิพพาน เป็นต้น.
จริงอยู่ สุขศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่า สุขเวทนา ดังในประโยคมีอาทิว่า สุขสฺส จ ปหานา (เพราะละสุขเวทนาได้) ใช้ในอรรถว่า สุขมูล ดังในประโยคมีอาทิว่า สุโข พุทฺธานํ อุปฺปาโท สุขา วิราคตา โลเก (ความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นมูลแห่งความสุข การปราศจากความกําหนัดเป็นมูลแห่งความสุขในโลก) ใช้ในอรรถว่า สุขารมณ์ ดังในประโยคมีอาทิว่า ยสฺมา จ โข มหาลิ รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาโวกฺกนฺตํ (ดูก่อนมหาลิ ก็เพราะเหตุที่รูปมีอารมณ์เป็นสุข มีสุขตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข) ใช้ในอรรถว่า สุขเหตุ ดังในประโยคมีอาทิว่า สุขสฺเสตํ ภิกฺขเว อธิวจนํ ยทิทํ ปฺุานิ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คําว่า บุญทั้งหลาย
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 157
นี้นั้น เป็นชื่อเหตุแห่งความสุข) ใช้ในอรรถว่า สุขปัจจยฐาน ดังในประโยคมีอาทิว่า ยาวฺจิทํ ภิกฺขเว น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว สุขาสคฺคา น เต สุขํ ปชานนฺติ เย น ปสฺสนฺติ นนฺทนํ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การถึงฐานะอันเป็นปัจจัยของความสุข ด้วยการบอกเล่านี้ มิใช่ทําได้โดยง่าย และคําว่า เทวดาเหล่าใดไม่เห็นนันทนวัน ... เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่รู้ฐานะอันเป็นปัจจัยของความสุข) ใช้ในอรรถว่า อัพยาปัชฌะ ดังประโยคมีอาทิว่า ทิฏฺธมฺมสุขวิหารา เอเต ธมฺมา (ธรรมเหล่านี้ เป็นเครื่องอยู่ ไม่เบียดเบียนในปัจจุบัน) ใช้ในอรรถว่า นิพพาน ดังในประโยคว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ (พระนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง) แต่ในที่นี้ สุขศัพท์ นี้ใช้ในสุขเวทนาเท่านั้น. เวทนาศัพท์ใช้ในอรรถว่า เสวยอารมณ์เท่านั้น ดังประโยคมีอาทิว่า วิทิตา เม เวทนา อุปฺปชฺชนติ (เวทนาของเราตถาคตกําลังปรากฏเกิดขึ้น) ย่อมสมควร.
ว่าด้วยทุกขเวทนา
ทุกขศัพท์ ท่านใช้ในอรรถหลายอย่าง มีคําว่า ทุกขเวทนา ทุกขวัตถุทุกขารัมมณา ทุกขปัจจยฐานะ เป็นต้น.
จริงอยู่ ทุกขศัพท์นี้ ใช้ในอรรถว่า ทุกขเวทนา ดังในประโยคมีอาทิว่า ทุกฺขสฺส จ ปหานา (เพราะละทุกขเวทนาได้) ใช้ในอรรถว่า ทุกขวัตถุ ดังในประโยคมีอาทิว่า ชาติปิ ทุกฺขา (แม้ความเกิดก็เป็นที่ตั้งของทุกข์) ใช้ในอรรถว่า ทุกขารมณ์ ดังในประโยคมีอาทิว่า ยสฺมาจ โขมหาลิ รูปํ ทุกขํ ทุกฺขานุปติตํ ทุกฺขาโวกฺกนฺตํ (ดูก่อนมหาลิ ก็เพราะเหตุ รูปอารมณ์เป็นทุกข์ ถูกทุกข์ติดตาม หยั่งลงสู่ความทุกข์) ใช้ใน
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 158
อรรถว่า ทุกขปัจจัย ดังในประโยคมีอาทิว่า ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย (การสั่งสมบาป เป็นปัจจัยแห่งทุกข์) ใช้ในอรรถว่า ทุกขปัจจยฐาน ดังในประโยคมีอาทิว่า ยาวฺจิทํ ภิกฺขเว น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตตุํ ยาว ทุกฺขา นิรยา (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การถึงฐานปัจจัยแห่งทุกข์จนกระทั่งถึงนรกด้วยการบอกเล่านี้ กระทําไม่ได้ง่าย). แต่ในที่นี้ ทุกขศัพท์นี้พึงทราบว่าเป็นทุกขเวทนาเท่านั้น.
ว่าด้วยความหมายของศัพท์
ก็พึงทราบวจนัตถะ (ความหมายของคํา) ในที่นี้
ชื่อว่า สุข เพราะยังผู้เสวยให้สบาย.
ชื่อว่า ทุกข์ เพราะทนได้ยาก.
ชื่อว่า อทุกขมสุข เพราะอรรถว่า ไม่ใช่ทุกข์ และไม่ใช่สุข. ม อักษรท่านกล่าวไว้ด้วยอํานาจเชื่อมบท.
ธรรมมีสุขเป็นต้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่า เวทนา เพราะอรรถว่าย่อมรู้ คือ ย่อมเสวยรสชองอารมณ์. บรรดาเวทนาเหล่านั้น สุขเวทนามีความเสวยอารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นลักษณะ ทุกขเวทนา มีการเสวยอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาเป็นลักษณะ อทุกขมสุขเวทนามีการเสวยอารมณ์ผิดแปลกจากเวทนาทั้งสอง.
ว่าด้วยสัมปยุตตะ
ก็สัมปยุตตศัพท์ ในบทแห่งเวทนา ๓ นี้ พึงทราบดังนี้
ชื่อว่า สัมปยุตตะ เพราะอรรถว่า ประกอบด้วยการกระทําต่างๆ โดยชอบ. ถามว่า การกระทําต่างๆ อย่างไร ตอบว่า ด้วยการทําทั้งหลาย
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 159
มีการเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นต้น. ถามว่า ธรรมบางเหล่า สัมปยุตต์ด้วยธรรมบางเหล่าไม่มีหรือ. ตอบว่า ใช่ (ไม่มี) เพราะปฏิเสธปัญหานี้ ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวอรรถแห่งสัมปโยค ด้วยสามารถแห่งธรรมทั้งหลายมีการเกิดพร้อมกันเป็นต้น อย่างนี้ว่า ธรรมบางเหล่าสหรคต เกิดพร้อม ระคนกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน มีอยู่มิใช่หรือ เพราะฉะนั้น ธรรมชื่อว่า สัมปยุตตะ เพราะอรรถว่า ประกอบแล้วด้วยการทําทั่ว โดยชอบ คือ มีการเกิดพร้อมกันเป็นต้นเหล่านี้.
ว่าด้วยวิปากติกะที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งวิบาก ต่อไป
ชื่อว่า วิบาก เพราะอรรถว่า เป็นผลของกุศล และอกุศลกรรมทั้งหลายซึ่งพิเศษกว่ากันและกัน คําว่า วิบาก นี้ เป็นชื่อของอรูปธรรมทั้งหลายของที่ถึงความเป็นวิบาก. บทว่า วิปากธมฺมธมฺมา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายของวิบากธรรมทั้งหลาย คือ ธรรมทั้งหลายอันยังวิบากให้เกิดขึ้น เหมือนสัตว์ทั้งหลายมีความเกิดและความแก่เป็นสภาวะ มีปกติตกไปสู่ความเกิดและความแก่ ท่านเรียกว่า มีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา อธิบายว่า ธรรมทั้งหลายมีวิบากเป็นสภาวะ มีปกติตกไปสู่วิบาก เพราะความที่ธรรมเหล่านี้ยังวิบากให้เกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้. บทที่ ๓ ท่านกล่าวไว้โดยการปฏิเสธสภาวะทั้งสอง.
ว่าด้วยอุปาทินนติกะที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอุปาทินนุปาทานิยธรรมต่อไป
ธรรมที่ชื่อว่า อุปาทินนะ เพราะกรรมประกอบด้วยตัณหาเป็นต้นด้วยสามารถกระทําให้เป็นอารมณ์ ยืดถือเอาแล้ว คือ ถือเอาโดยความเป็นผล
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 160
ที่ชื่อว่า อุปาทานิยะ เพราะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่อุปทานทั้งหลาย โดยเข้าถึงความเป็นอารมณ์แล้วสัมพันธ์กับอุปาทาน. คําว่า อุปาทานิยะ นี้เป็นชื่อของธรรมที่เป็นอารัมมณปัจจัยของอุปาทาน. ชื่อว่า อุปาทินนุปาทานิยะ เพราะอรรถว่า เป็นอุปาทินนะด้วย เป็นอุปาทานิยะด้วย คําว่า อุปาทินนุปาทานิยะ นี้ เป็นชื่อของรูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลายอันบังเกิดขึ้นด้วยกรรมที่มีอาสวะ. ใน ๒ บทที่เหลือ พึงทราบเนื้อความอันประโยชน์เกื้อกูลแก่การปฏิเสธโดยนัยนี้.
ว่าด้วยสังกิลิฏฐติกะที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งสังกิลิฏฐสังกิเลสสิกธรรม ต่อไป
ธรรมที่ชื่อว่า สังกิเลส เพราะอรรถว่า ยังสัตว์ให้เศร้าหมอง. อธิบายว่า ย่อมเบียดเบียน คือให้สัตว์เร่าร้อน. ที่ชื่อว่า สังกิลิฏฐะ เพราะประกอบพร้อมแล้วด้วยสังกิเลส. ชื่อว่า สังกิเลสิกะ เพราะอรรถว่า ย่อมควรแก่สังกิเลสโดยทําตนให้เป็นอารมณ์เป็นไป หรือว่าเข้าไปประกอบในสังกิเลส โดยความไม่ก้าวล่วงความเป็นอารมณ์ของสังกิเลสนั้น. คําว่า สังกิเลสิกะ นี้ เป็นชื่อของธรรมทั้งหลายที่เป็นอารัมมณปัจจัยของสังกิเลส. ชื่อว่า สังกิลิฏฐสังกิเลสกะ เพราะอรรถว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นสังกิลิฎฐะด้วย เป็นสังกิเลสิกะด้วย สอง บทที่เหลือ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในติกะต้นนั่นแหละ.
ว่าด้วยวิตักกติกะที่ ๖
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งวิตักกะ ต่อไป.
ธรรมที่ชื่อว่า สวิตักกะ เพราะเป็นไปกับด้วยวิตก คือเป็นไปอยู่ด้วยสามารถแห่งสัมปโยคะ ธรรมที่ชื่อว่า สวิจาระ เพราะเป็นไปกับด้วยวิจาระ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 161
ธรรมที่ชื่อว่า สวิตักกสวิจาระ เพราะธรรมเหล่านั้นมีวิตกและมีวิจาร. ธรรมที่เว้นจากวิตกและวิจารทั้งสอง ชื่อว่า อวิตักกอวิจาระ ธรรมที่ชื่อว่า วิจารมัตตะ (สักว่าวิจาร) เพราะอรรถว่า บรรดาวิตกและวิจาร ธรรมมีเพียงวิจารเท่านั้นเป็นประมาณ อธิบายว่า ธรรมนั้นนอกจากวิจารแล้ว ย่อมไม่สัมปโยคะกับวิตก. ธรรมเหล่านั้นไม่มีวิตกด้วย มีเพียงวิจารด้วย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อวิตักกวิจารมัตตา.
ว่าด้วยปีติติกะที่ ๗
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งปีติธรรม ต่อไป.
ธรรมที่ชื่อว่า ปีติสหคตะ เพราะอรรถว่า ถึงภาวะแห่งสัมปโยคะมีการเกิดพร้อมกันเป็นต้นร่วมกับปีติ อธิบายว่า สัมปยุตต์ด้วยปีติ. แม้ใน ๒ บทที่เหลือก็นัยนี้แหละ ก็อทุกขมสุขเวทนาท่านกล่าวไว้ในบทที่ ๓ นี้ว่าอุเบกขา เพราะว่า อุเบกขานั้นเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ซึ่งความเป็นไปแห่งอาการของสุขและทุกข์ คือ ไม่ให้เป็นไปอยู่ตามอาการแห่งสุขและทุกข์นั้น จึงชื่อว่า อุเบกขา เพราะความดํารงอยู่โดยอาการแห่งความเป็นกลาง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวติกะนี้ โดยถือเอา ๒ หมวดจากเวทนาติกะนั่นแหละ แล้วแสดงสุขไม่มีปีติให้แปลกจากสุขที่มีปีติ.
ว่าด้วยทัสสนติกะที่ ๘
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งทัสสนธรรม ต่อไป.
บทว่า ทสฺสเนน ได้แก่ โสดาปัตติมรรค จริงอยู่ โสดาปัตติมรรคนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทัสสนะ เพราะเห็นพระนิพพานครั้งแรก ส่วนโคตรภูญาณ ย่อมเห็นพระนิพพานก่อนกว่าแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น โคตรภูญาณ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 162
นั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอาวัชชนะของมรรค เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มาสู่สํานักของพระราชาด้วยกรณียะอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เห็นพระราชาผู้ประทับบนคอช้างกําลังเสด็จดําเนินไปตามถนนแต่ที่ไกลเทียว ถูกเขาถามว่า ท่านเฝ้าพระราชาแล้วหรือ แม้เห็นแล้วก็กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้เฝ้า เพราะความที่กิจอันบุคคลพึงกระทําตนยังมิได้กระทํา ฉันใด โคตรภูญาณ แม้เห็นพระนิพพานแล้วก็ไม่เรียกว่า ทัสสนะ เพราะไม่มีการละกิเลสที่ควรกระทําฉันนั้นเหมือนกัน. ทุติยบทว่า ภาวนาย ได้แก่ มรรคทั้ง ๓ ที่เหลือ. จริงอยู่มรรคทั้ง ๓ ที่เหลือย่อมเกิด ขึ้นในธรรมอันปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นแหละ ด้วยสามารถแห่งภาวนา ย่อมไม่เห็นอะไรๆ ที่ปฐมมรรคไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า ภาวนา. บทที่ ๓ กล่าวไว้ด้วยการปฏิเสธบททั้ง ๒ ข้างต้น.
ว่าด้วยทัสสนเหตุติกะที่ ๙
พึงทราบวินิจฉัยในติกะในลําดับต่อไป
เหตุที่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค มีอยู่ด้วยแก่ธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา. แม้ในทุติยบทก็นัยนี้เหมือนกัน. ในตติยบทไม่พึงถือเอาเนื้อความอย่างนี้ว่า เหตุที่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค และมรรคเบื้องบน ๓ ไม่มีแก่ธรรมเหล่านั้น พึงถือเอาเนื้อความอย่างนี้ว่า เหตุที่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรคก็มิใช่ และด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (ภาวนา) ก็ไม่ใช่มีอยู่แก่ธรรมเหล่านั้น. จริงอยู่ เมื่อถือเอาความนอกจากนี้ ก็ไม่พึงถืออเหตุกธรรม เพราะว่า เหตุเท่านั้นไม่มีแก่ธรรมเหล่านั้น แม้ในสเหตุกธรรมทั้งหลาย ธรรมใดที่ละด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค ๓ เบื้องบนพึงมีได้. การละธรรมที่ไม่มีเหตุ ย่อมถูกต้อง การละธรรมที่มีเหตุ ย่อมไม่ถูก. เพราะว่า
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 163
เหตุของธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ ท่านกล่าวว่าไม่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค ๓ เบื้องบน ธรรมเหล่านั้น พระองค์มิได้ตรัสไว้ และแม้เหตุและธรรมทั้ง ๒ นี้ก็ไม่ประสงค์เอา เพราะฉะนั้น พึงถือเอาเนื้อความนี้ว่า เหตุธรรมทั้งหลายไม่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค ไม่พึงละด้วยมรรค ๓ เบื้องบนมีอยู่ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า มีเหตุที่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรคก็มิใช่ ด้วยมรรค ๓ เบื้องบนก็มิใช่.
ว่าด้วยอาจยคามิติกะที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอาจยคามิธรรม ต่อไป.
ธรรมใดอันกรรมและกิเลสย่อมก่อสร้างไว้ เพราะเหตุนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า อาจยะ คําว่า อาจยะ นี้ เป็นชื่อของธรรมทั้งหลายที่เป็นไปของสัตว์ผู้ดําเนินไปสู่ปฏิสนธิ และจุติ. อธิบายว่า กรรมและกิเลสทั้งหลายย่อมถึงปฏิสนธิและจุตินั้น หรือว่า ย่อมยังบุคคลนั้นให้เป็นไปโดยเป็นเหตุให้ปฏิสนธินั้นสําเร็จ ตามที่กล่าวแล้วนั้นแหละ. ธรรมทั้งหลายที่ชื่อว่า อาจยคามิโน เพราะอรรถว่าย่อมยังสัตว์ให้ถึงปฏิสนธิและจุติ. คําว่า อาจยคามิ นี้เป็นชื่อของกุศลและอกุศลที่มีอาสวะ พระนิพพานปราศจากความก่อ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อปัจจยะ เพราะปราศจากความก่อคือปฏิสนธิและจุตินั้นนั่นแหละ ธรรมเหล่าใดย่อมถึงพระนิพพานอันเป็นอปัจจัย ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า อปัจจยคามิโน เพราะกระทําพระนิพพานนั้นให้เป็นอารมณ์เป็นไป. คําว่า อปัจจยคามี นี้ เป็นชื่อของอริยมรรค. อีกอย่างหนึ่ง กรรมและกิเลสเหล่าใดก่อสร้างยังปฏิสนธิและจุติให้เป็นไปอยู่ เหมือนช่างอิฐก่อกําแพง เพราะเหตุนั้นกรรมและกิเลสเหล่านั้น จึงชื่อว่า อาจยคามิโน. ธรรมเหล่าใดไม่ก่อสร้างปฎิ-สนธิและจุตินั้นให้เป็นไป เหมือนบุรุษทําลายอิฐที่ก่อสร้างแล้วๆ เพราะเหตุนั้นธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า อปัจจยคามิโน บทที่ ๓ ท่านกล่าวปฏิเสธ ๒ บทต้น.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 164
ว่าด้วยเสกขติกะที่ ๑๑
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งเสกธรรม ต่อไป.
ชื่อว่า เสกขะ เพราะเกิดแล้วในสิกขา ๓ ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ เพราะเป็นธรรมของพระเสกขะ ๗ ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ เพราะกําลังศึกษาอยู่โดยยังไม่สําเร็จการศึกษานั่นแหละ. ชื่อว่า อเสกขะ เพราะไม่ต้องศึกษา เพราะไม่มีสิ่งที่พึงศึกษาให้ยิ่งขึ้นไปอีก. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า อเสกขะ เพราะพระอเสกขบุคคลถึงความเจริญที่สุดแล้ว. ค่าว่า อเสขะ นี้ เป็นชื่อของธรรมคืออรหัตตผล. บทที่ ๓ ท่านกล่าวไว้โดยปฏิเสธ ๒ บทข้างต้น.
ว่าด้วยปริตติกะที่ ๑๒
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งปริตตธรรม ต่อไป.
วัตถุมีประมาณน้อย เรียกว่า ปริตตะ เพราะเป็นของแตกหักไปรอบด้าน เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ปริตฺตํ โคมยปิณฺฑํ (ก้อนขี้วัวเล็กน้อย) แม้ธรรมเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนของเล็กน้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ปริตตะ เพราะมีอานุภาพน้อย. คําว่า ปริตตะ นี้ เป็นชื่อของกามาวจร. ธรรมที่ชื่อว่า มหัคคตะ เพราะอรรถว่า ถึงความเป็นใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลส เพราะมีผลไพบูลย์ และเพราะความสืบต่อยาวนาน หรือว่า บุคคลผู้ปฏิบัติแล้วถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ ปัญญา ดังนี้บ้าง. ธรรมทั้งหลายมีราคะเป็นต้นกระทําให้มีประมาณ ชื่อว่า ประมาณธรรม ธรรมทั้งหลายที่ชื่อ ไม่มีประมาณ เพราะอรรถว่าประมาณธรรมไม่มีแก่ธรรมเหล่านี้โดยอารมณ์ หรือโดยสัมปโยคะ และเป็นธรรมปฏิเสธประมาณธรรม.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 165
ว่าด้วยปริตตารัมมณติกะที่ ๑๓
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งปริตตารัมมณธรรม ต่อไป.
ธรรมที่ชื่อว่า ปริตตารัมมณะ เพราะอารมณ์ของธรรมเหล่านี้เล็กน้อยแม้ใน ๒ บทที่เหลือ ก็นัยนี้แหละ.
ว่าด้วยหีนติกะที่ ๑๔
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งหีนธรรม ต่อไป.
บทว่า หีนา ได้แก่ ลามก คือ อกุศลธรรม. ธรรมทั้งหลายมีในท่ามกลางแห่งธรรมอันลามกและประณีต มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า มัชฌิมา คือธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ นอกจาก หีนะ และปณีตธรรม. โลกุตระ ชื่อว่า ธรรมอันประณีต เพราะอรรถว่าสูงสุด และอรรถว่าชุ่มชื่นยิ่ง ไม่เร่าร้อน.
ว่าด้วยมิจฉัตตติกะที่ ๑๕
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งมิจฉัตตธรรม ต่อไป.
ธรรมที่ชื่อว่า มิจฉัตตะ เพราะอรรถว่า ชนทั้งหลายแม้มีความหวังอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้จักนําประโยชน์และความสุขมาให้แก่เรา ดังนี้ ก็ไม่ได้เหมือนอย่างนั้นเลย เพราะภาวะของตนเป็นความเห็นผิดจากความเป็นไปอันวิปริต แม้ในอสุภะเป็นต้น ว่าเป็นสุภะเป็นต้น. เมื่อการให้วิบากมีอยู่ ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า นิยตะ เพราะการให้วิบากในระหว่างแห่งการทําลายขันธ์นั่นแหละ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นมิจฉัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มิจฉัตตนิยตา. ธรรมที่ชื่อว่า สัมมัตตะ เพราะอรรถว่าเป็นสภาวะโดยชอบด้วยอรรถอันผิดจากมิจฉัตตะที่กล่าวแล้ว ธรรมเหล่านั้น
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 166
เป็นสัมมัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย โดยให้ผลไม่มีระหว่างคั่นนั่นแหละ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัมมัตตนิยตา. ธรรมเหล่าใดให้ผลไม่แน่นอน แม้โดยประการแห่งบททั้งสองที่กล่าวแล้วมีอยู่ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า อนิยตา.
ว่าด้วยมัคคารัมมณติกะที่ ๑๖
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งมัคคารัมมณธรรม ต่อไป.
ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมแสวงหา ย่อมค้นหาพระนิพพานอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมฆ่ากิเลสทั้งหลายไป. มรรคเป็นอารมณ์ของธรรมเหล่านั้น ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มัคคารัมมณะ (มีมรรคเป็นอารมณ์. มรรคแม้ประกอบด้วยองค์ ๘ ก็เป็นเหตุของธรรมเหล่านั้น เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า มัคคเหตุกา (มีมรรคเป็นเหตุ). เหตุทั้งหลายสัมปยุตด้วยมรรคหรือว่า เหตุทั้งหลายในมรรค ชื่อว่า มัคคเหตุ. มัคคเหตุเหล่านั้นเป็นเหตุของธรรมเหล่านั้น ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มัคคเหตุกา (มีมรรคเป็นเหตุ). สัมมาทิฏฐิเองเป็นมรรคด้วย เป็นเหตุด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นทั้งมรรคเป็นทั้งเหตุ. ธรรมที่เป็นทั้งมรรคเป็นทั้งเหตุเหล่านั้น มีอยู่แก่ธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มัคคเหตุกา. มรรคเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านั้น ด้วยอรรถว่า ครอบงําให้เป็นไป เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มัคคาธิปติ.
ว่าด้วยอุปปันนติกะที่ ๑๗
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอุปปันนธรรม ต่อไป.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 167
ธรรมที่ชื่อว่า อุปปันนะ เพราะอรรถว่า เป็นไปทั่วจําเดิมแต่อุปปาทขณะจนถึงภังคขณะอันยังไม่เลยไป. ธรรมที่ไม่ใช่อุปปันนะ เรียกว่า อนุปปันนะ ธรรมใดจักเกิดขึ้นแน่นอนเพราะเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุที่สําเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ธรรมนั้น จึงชื่อว่า อุปปาทิ.
ว่าด้วยอตีตติกะที่ ๑๘
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอตีตธรรม ต่อไป
ธรรมที่ชื่อว่า อตีตะ เพราะอรรถว่า ถึงสภาวะของตน หรือถึงอุปปาทขณะเป็นต้นแล้วก็ล่วงเลยไป. ธรรมที่ยังไม่ถึงสภาวะของตน หรืออุปปาทขณะเป็นต้นทั้งสองนั้น ชื่อ อนาคตะ ธรรมที่อาศัยเหตุนั้นๆ เกิดขึ้นชื่อว่า ปัจจุปปันนะ.
ว่าด้วยอนันตรติกะที่ ๑๙
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอนันตรธรรม เป็นต้น
อดีตธรรมที่เป็นอารมณ์ของธรรมเหล่านั้นมีอยู่ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า อตีตารัมมณะ แม้สองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
ว่าด้วยอัชฌัตตติกะที่ ๒๐
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งอัชฌัตตธรรม ต่อไป
ธรรมที่ชื่อว่า อัชฌัตตะ เพราะอรรถว่า กระทําตนให้เป็นใหญ่ เหมือนประสงค์เอาอย่างนี้ว่า พวกเราเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ พวกเราก็จักยึดถือเป็นอัตตาดังนี้. ส่วนอัชฌัตตศัพท์นี้ใช้ในความหมาย ๔ อย่างคือ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 168
โคจรัชฌัตตะ (อารมณ์ทั่วไป)
นิยกัชฌัตตะ (ธรรมที่เกิดอยู่ในตน)
อัชฌัตตัชฌัตตะ (อัชฌัตตายตนะ ๖)
วิสยัชฌัตตะ (ผลสมาบัติ)
จริงอยู่ อัชฌัตตศัพท์นี้ ใช้ในอรรถว่า โคจรัชฌัตตะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า เตนานนฺท ภิกฺขุนา ตสฺมึเยว ปุริมสฺมึ สมาธินิมิตฺเต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺเปตพฺพํ , อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต (ดูก่อนอานนท์ ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตอันมีอารมณ์ในภายในนั้นแหละให้มั่นในสมาธินิมิตเดิมนั้นนั่นแหละ เธอมีความยินดีแล้วในภายใน มีจิตตั้งมั่นแล้ว) . ใช้ในอรรถว่า นิยกัชฌัตตะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ ,อชฺฌตฺตํ วา ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ (ความผ่องใสภายใน ภิกษุมีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายในภายในอยู่) . ใช้ในอรรถว่า อัชฌัตตัชฌัตตะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ฉ อชฺฌตฺติกา อายตนานิ (อายตนะ ๖ เป็นไปในภายใน) . ใช้ในอรรถว่า วิสยัชฌัตตะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า อยํ โข ปนานนฺท วิหาโร ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺโธ ยทิทํ สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อชฺฌตฺตํ สฺุตํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ (ดูก่อนอานนท์ ก็ธรรมเป็นเครื่องอยู่นี้แล อันตถาคตตรัสรู้ชอบยิ่งแล้ว ซึ่งตถาคตเข้าถึงสุญญตะ อันเป็นภายในเพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่) . อธิบายว่า ใช้ในฐานะอันยิ่งใหญ่. จริงอยู่ ผลสมาบัติ ชื่อว่า ฐานะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ส่วนอัชฌัตตศัพท์ในที่นี้ ประสงค์เอานิยกัชฌัตตะ เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นไปในสันดานของตนเป็นเฉพาะแต่ละบุคคลพึงทราบว่า เป็นอัชฌัตตธรรม. ส่วนธรรมที่เป็นภายนอกจากอัชญัตตธรรมนั้น
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 169
เนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ชื่อว่า พหิทธรรม บทที่๓ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งบททั้ง ๒.
ส่วนหมวด ๓ แห่งอนันตระ (อตีตารัมมณติกะ) ท่านกล่าวกระทําธรรมแม้ทั้ง ๓ ประการ (อัชฌัตตะเป็นต้น) เหล่านั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์เป็นไป.
ว่าด้วยสนิทัสสนติกะที่ ๒๒
พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งสนิทัสสนธรรม ต่อไป
ธรรมที่ชื่อว่า สนิทัสสนะ เพราะเป็นไปกับด้วยความเห็น กล่าวคือความที่รูปนั้นอันจักขุวิญญาณพึงเห็น. ธรรมที่ชื่อว่า สัปปฏิฆะ เพราะเป็นไปกับด้วยปฏิฆะ. กล่าวคือความเป็นคือการกระทบ. ธรรมเหล่านั้นเป็นไปกับด้วยการเห็นและการกระทบ เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า สนิทัสสนสัปปฏิฆะ. นิทัสสนธรรมกล่าวคือความที่รูปอันจักขุวิญญาณพึงเห็นไม่มีแก่ธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า อนิทัสสนะธรรม ธรรมเหล่านั้นเป็นอนิทัสสนะด้วย เป็นสัปปฏิฆะด้วยโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละชื่อว่า อนิทัสสนสัปปฏิฆะ. บทที่๓ ท่านปฏิเสธทั้ง ๒ บท.
นี้เป็นการพรรณนาตามบทติกมาติกาเพียงเท่านี้