เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา พร้อมด้วย พลตรี ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา คณะอาจารย์ มศพ. และ สหายธรรมจากกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางไปยัง สวนเทพหยา ตำบลป่าขาด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ๆ จะก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้ ตามที่คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๔๔๓๘ ได้บริจาคที่ดินบริเวณ "สวนเทพหยา-ศูนย์เรียนรู้ส่งเสริมคนดี สู่วิถีพอเพียง" จำนวนกว่า ๔ ไร่ เพื่อเป็นที่ตั้งของ บ้านธัมมะภาคใต้
สำหรับความเป็นมาของการก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้นั้น เนื่องมาจากการที่ คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๓๘๕๖ และคุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๓๘๕๘ คู่สามีภรรยาชาวใต้ ได้พบและติดตามฟังการบรรยายและการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จนมีความเข้าใจมากขึ้น จากการเป็นผู้ที่เคยเห็นผิด คิดว่าเป็นผู้ที่รู้จักและเข้าใจพระพุทธศาสนาแล้ว ทั้งได้เคยร่วมสนับสนุนกิจกรรมของวัดและพระภิกษุ ที่มีความเห็นผิด ประพฤติผิดไปจากพระธรรมคำสอน มีการร่วมดำเนินการสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เป็นต้น นอกจากนั้น คุณอัครายังเคยมีความคิดถึงขั้นที่จะไม่แต่งงาน และคิดที่จะออกบวชเป็นบรรพชิตจนตลอดชีวิตอีกด้วย (ขอเชิญคลิกอ่านและฟังที่ลิงก์นี้ : คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ กับประสบการณ์ของการแสวงหาธรรม)
แต่ด้วยบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้คุณอัคราได้พบกับพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องแท้จริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการบรรยายและสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อได้เริ่มฟังได้ศึกษา จนมีความเข้าใจมากขึ้น ก็เกิดกุศลศรัทธาอย่างมาก ที่จะเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมสนับสนุน เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจนี้ แก่ญาติสนิท มิตรสหาย และผู้ที่รู้จักเกี่ยวข้อง ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณอัครากล่าวยอมรับว่า เมื่อได้เข้าใจธรรมะถูกต้อง ก็ทำให้รู้สึกผิดต่อท่านเหล่านั้น ที่ได้เคยเชื่อฟังคุณอัคราในความเห็นผิด ที่ตนเองเคยเข้าใจว่าถูกต้อง
(ภาพจากแฟ้มภาพ)
คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ เป็นนักกฎหมาย (ทนายความ) ชาวใต้ ที่มีความเข้าใจ และเห็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเผยแพร่พระธรรม เคยจัดให้มีการสนทนาธรรมที่โรงแรมธรรมรินทร์ธนา จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ ๑๖ - ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยได้เชิญญาติพี่น้อง เพื่อฝูง คนที่รูัจักรักใคร่ จำนวนมาก มาร่วมฟังการสนทนาในครั้งนั้น นอกจากนั้น คุณอัครายังมีการนำหนังสือและสื่อธรรมของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปจัดมุมเผยแพร่แจกจ่ายให้แก่ผู้สนใจ ที่สำนักงานทนายความของคุณอัคราเอง อีกด้วย
(ภาพ : คุณอัคราและคุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา)
ต่อมา เมื่อคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ น้องชายของคุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ ภรรยาของคุณอัครา ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้จัดการสวนเทพหยา ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง "ศูนย์เรียนรู้ส่งเสริมคนดี สู่วิถีพอเพียง" บ้านเทพหยา ตำบลป่าขาด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ได้ทราบถึงกุศลศรัทธาของคุณอัครา และคุณเพลินพันธ์ พี่สาว จึงได้แสดงเจตนารมณ์ในการมอบที่ดินผืนดังกล่าว แก่ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมา ทางมูลนิธิฯ ก็ได้มีดำริให้จัดสร้างบ้านธัมมะภาคใต้ขึ้น เพื่อเป็นสถานที่สำหรับเผยแพร่ความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องแก่ชาวใต้ อันจะเป็นฐานที่ตั้งที่มั่นคงถาวร ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องของพระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กว้างขวางไพบูลย์แก่ชนเป็นอันมากต่อไป
(ภาพจากแฟ้มภาพ)
อนึ่ง คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ เจ้าของและผู้จัดการสวนเทพหยา ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง "ศูนย์เรียนรู้ส่งเสริมคนดี สู่วิถีพอเพียง" และผู้จัดการโครงการเพื่อพัฒนาอาชีพจังหวัดสงขลา ตามดำริของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เคยได้รับทุนจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในการเรียนที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ และ จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ หลังจากจบการศึกษา ได้ดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน ด้วยความดำริของท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยได้พลิกฟื้นที่ดิน ๑๐ ไร่ ซึ่งในอดีตเคยเป็นทุ่งนา และ ต้นตาลโตนด ให้กลายเป็น โคก หนอง นา โดยแบ่งพื้นที่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในชื่อของ "สวนเทพหยา" จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน "สวนเทพหยา" เป็นพื้นที่ต้นแบบ ที่มีผู้มาเยี่ยมชม และรับการอบรม อย่างสม่ำเสมอ
(ภาพจากแฟ้มภาพ)
การที่คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ ได้บริจาคที่ดิน จำนวนกว่า ๔ ไร่ ดังกล่าว ให้มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งของ บ้านธัมมะภาคใต้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างนั้น จะเป็นการดำเนินการตามดำริของฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่เคยกล่าวกับคุณชาญวิทย์ไว้ ในเรื่องของการพัฒนาชุมชนให้เป็น "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" ซึ่งสำหรับ "แผ่นดินทอง" นั้น คุณชาญวิทย์ได้ดำเนินการในการสนับสนุนช่วยเหลือ พี่น้องประชาชนชาวใต้ในพื้นที่ ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมีคุณภาพ มีความมั่นคง จนประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในปัจจุบัน ทั้งได้รับการประกาศเกียรติคุณและได้รับรางวัลมากมาย มาแล้ว
ในส่วนของ "แผ่นดินธรรม" นั้น บัดนี้ เป็นที่น่าปีติยินดีอย่างยิ่ง ที่จะเกิดมี "บ้านธัมมะภาคใต้" แห่งนี้ขึ้น อันจะเป็นการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์และถูกต้องที่สุด ในดำริของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในคราวนี้ ทั้งยังเป็นบุญยิ่งของพี่น้องชาวใต้ ที่จะได้รับสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่เฉพาะเพียงในชาตินี้ แต่จะเป็นสิ่งมีค่าที่จะติดตามไปในการเดินทางอันแสนกันดารที่สุด ในสังสารวัฏฏ์ของทุกคนอีกด้วย ความเป็นมาของการก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้ดังกล่าว จึงควรแก่การอนุโมทนา ยินดีในกุศลทุกประการของทั้งสามท่าน กล่าวคือ คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ และ คุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยประการดังนี้
อนึ่ง ในการเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้ในครั้งนี้ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เมตตาให้มีการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสอันพิเศษนี้ด้วย ซึ่งก็ได้มีชาวใต้และผู้สนใจที่ทราบข่าวการเดินทางมาของท่านอาจารย์และคณะ ในครั้งนี้ เดินทางมาร่วมฟังและร่วมสนทนาธรรมในครั้งนี้ เป็นจำนวนมาก
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำภาพและความการสนทนาบางตอนในวันนั้น มาบันทึกไว้ ดังต่อไปนี้
คุณชาญวิทย์ : วันนี้ กระผมรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตอีกวันหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสกราบต้อนรับ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งท่านได้เสียสละเวลามาสนทนาธรรมในพื้นที่ภาคใต้ในวันนี้ ผมคิดว่าเป็นมงคลในชีวิตอย่างยิ่ง เพราะว่ากระผมเองก็เป็นคนๆ หนึ่ง ที่สนใจที่จะทำความดีในชีวิต แต่ว่า ยังไม่มีความรู้ในเรื่องทางธรรม ผมอาจจะมีความรู้บ้าง เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องของทางโลก เกี่ยวกับเรื่องของการทำมาหากิน การเลี้ยงชีพ แต่ว่าความรู้ในด้านทางธรรม กระผมยังไม่มีเลย
วันนี้ ก็จะเป็นโอกาสดี เป็นโอกาสเริ่มต้น ที่จะทำให้ มีความรู้ มีปัญญามากขึ้น จากการที่กระผมได้มีโอกาสได้สดับรับฟังคำของท่านอาจารย์มาบ้างไม่มากเท่าที่ควร ผมก็พอสรุปเป็นชีวิตได้ว่า ถ้าคนเรามีจิตใจที่เป็นกุศล มีกุศลจิต คนๆ นั้น ก็จะมีสิ่งดีๆ ติดตามมา ผมก็คิดว่า จิตใจที่เป็นกุศลนี้ จะสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ให้กับสังคม ประเทศชาติ ได้อย่างมากมายมหาศาล
ดังนั้น วันนี้ วันที่ ๑๗ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕ ก็จะเป็นอีกวันหนึ่ง ที่ทางภาคใต้ ซึ่งขออนุญาตเอ่ยนาม พี่อัครา ท่านมีความตั้งใจ กับพี่เพลินพันธ์ ผมเป็นน้อง ผมเห็นความตั้งใจของพี่อัครา พี่เพลินพันธ์ ที่เที่ยวตามหาธรรมหรือความจริงในชีวิตมานาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหน วัดไหน ท่านก็จะไปศึกษา ไปหาความรู้ แต่ว่า ท่านบอกผมว่า เมื่อท่านมาเจออาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านก็เจอธรรมที่แท้จริง ผมก็น้อมยินดีกับพี่อัครา และพอยินดีแล้ว ผมก็คิดว่า ผมมีที่ดินอยู่ละแวกตรงนี้ จำนวน ๔ ไร่ครึ่ง ก็ขออนุญาตบริจาคให้กับพี่อัครา เพื่อที่จะไปศึกษาแล้วก็เผยแพร่พระพุทธศาสนา ในแนวทางที่ท่านอาจารย์เป็นผู้นำของพวกเรา
ดังนั้น ผมก็คิดว่า บ้านธัมมะภาคใต้ ก็จะเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ของประเทศไทย ที่มีคนที่มีความตั้งใจจริงๆ ในชีวิต ที่จะอุทิศตนเพื่อศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา อย่างแท้จริง ผมเอง ในชีวิต ได้มีโอกาสเป็นนักเรียนทุนของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีโอกาสทำงานตามดำริของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านก็เคยให้โอวาทกับผมว่า อยากให้ผมไปทำงานในชุมชน ในลักษณะ สร้าง "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" แต่ผมเองก็คงจะไม่มีความสามารถในเรื่องของ "แผ่นดินธรรม" ผมก็คิดว่า ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จะมาดำเนินการช่วยเหลือตรงนี้ได้
ส่วนคำว่า "แผ่นดินทอง" ผมได้รับความหมายจากป๋าเปรมว่า คือ การมาสร้างเศรษฐกิจ คือ เมื่อเขาเป็นคนดีแล้ว ก็มาช่วยสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้กับเขาด้วย ก็เป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง แบบในหลวง ดังนั้น วันนี้กระผมก็อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์สักเล็กน้อย แต่ว่าก็อาจจะเป็นปัญหาทางโลก หรือว่า การประกอบอาชีพเท่านั้นเอง ผมเคยได้สดับรับฟังมาว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ศาสดาของพวกเรา ท่านชี้ทางสายกลางให้กับฆราวาส
ผมคิดว่า ถ้าเป็นความจริง ผมก็อยากจะรับฟังจากคำของท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อมว่า ผมอยากให้ท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างว่า ทางสายกลางที่ว่านี้ เป็นอย่างไร และในยุคปัจจุบันพวกเราทั้งหลาย ควรที่จะเดินทางสายกลาง อย่างไร ถ้าเป็นความจริงอย่างนั้น กระผมคิดว่า คำๆ นี้ ก็จะเป็นคำที่เป็นมงคลในชีวิตของผู้คนทั่วไปว่า ทางสายกลางประกอบด้วยอะไร และเราจะได้ดำเนินการทางสายกลางกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ก็อยากจะฟังจากท่านอาจารย์ในวันนี้ครับ
ในลำดับสุดท้าย ผมขอขอบพระคุณพ่อแม่ของกระผม คุณแม่ ท่านอายุ ๙๔ ปี ท่านก็เดินทางมาจากระโนดด้วย ซึ่งก็ห่างจากที่นี่ประมาณ ๘๐ กิโลเมตร คุณป้าของกระผมก็มาด้วย เพื่อที่จะต้อนรับท่านอาจารย์ คุณป้าของผมก็อายุ ๑๐๒ ปี ท่านก็นั่งอยู่ในอาคารด้านนอกนี้เอง ท่านก็ตั้งใจจะมา ผมก็ดีใจ ปีติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับอาจารย์ ก็ขอเชิญได้ดำเนินการต่อไปครับ กราบสวัสดีครับ
คุณอัครา : กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กราบคณะท่านอาจารย์ มศพ. ทุกท่าน วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ วัตถุประสงค์แรกก็คือ เพื่อที่จะให้แต่ละท่านได้ทราบว่า ที่ภาคใต้ ได้มีธรรมะที่แท้จริง ตามความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ อย่างที่คุณชาญวิทย์กล่าว กระผมได้รับความเข้าใจจากอาจารย์สุจินต์และคณะอาจารย์ทุกท่าน
ด้วยความซาบซึ้งและกราบขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ก็มีความดำริที่คิดจะให้มีบ้านธัมมะภาคใต้ขึ้นมา อย่างที่คุณชาญวิทย์กล่าว ก็เป็นสิ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ในชีวิตนี้ จะมี (การให้ความเข้าใจ) ความจริง เกิดขึ้นในพื้นที่ของภาคใต้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออยากให้ท่านอาจารย์ได้มากล่าวธรรมะ และได้มาดูสถานที่ในการก่อสร้าง ซึ่งท่านอาจารย์ไม่เคยได้เห็นว่า ที่ที่จะก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้ สถานที่เป็นอย่างไร ก็คงมีโอกาสที่หลังจากสนทนาธรรมตรงนี้เสร็จ ก็คงได้ไปดูสถานที่ก่อสร้างที่แท้จริง กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวันหนึ่ง ที่มีความยินดีอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สถานที่นี้ เป็นอาราม เป็นที่น่ารื่นรมย์ คิดถึงในครั้งพุทธกาล ยังไม่มีวัดวาอารามใหญ่โตเลย
แต่ที่ใดก็ตาม ที่มีผู้สามารถที่จะเข้าใจธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ พระองค์ก็เสด็จไปโปรด แต่ว่า ต้องคิด ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ "ทางสายกลาง" ของพระองค์ ไม่กี่คำเอง แต่ว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ รู้จักทาง หรือยัง? และ ทางนั้น ไปไหน?
นี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ มักจะคิดว่า ธรรมะที่เราพูดกันในภาษาไทย ก็ดูธรรมดาๆ แล้ว ลึกซึ้งอย่างไร? แต่ต้องไม่ลืม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสว่า ธรรมะลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้
พอพูดว่า "ทางสายกลาง" เรารู้แล้วหรือ? ทางไหน? ไปไหน? และ มีกี่ทาง? และ นี่เป็นทางสายกลางอย่างไร ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก แต่การที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด เริ่มจากการที่ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแต่ชื่อ กราบไหว้บูชา แต่ถ้าถามว่า นับถืออะไรที่พระองค์ตรัส ตอบได้ไหม?
ตอบคำที่ไม่เคยคิดมาก่อน เช่น ทางสายกลาง แต่ถ้ามีการซักไซ้ให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่คิดกันเอาเอง ก็จะรู้ได้ว่า คำนี้ เป็นคำที่แสดงถึง การที่พระองค์ทรงดำเนิน จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้ว อริยสัจธรรมอยู่ที่ไหน? ฟังแล้ว ในหนังสือเรียนสมัยก่อนสำหรับเด็ก ก็มีคำนี้ แต่เด็กเข้าใจไหม? และคนที่กล่าวคำนี้ เข้าใจหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเป็นผู้ตรง เหมือนที่พระโพธิสัตว์ เริ่มตรงต่อความจริง ใครจะคิดบ้าง ว่าอะไรจริงเดี๋ยวนี้ และอะไร ทำให้บุคคลหนึ่งเห็นแล้วรู้ว่า ความจริงนี้สามารถจะรู้ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ แค่นี้เราก็ไม่ได้คิดแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะตามคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อริยสัจธรรม ถูกต้องไหม? ได้ยินอย่างนี้ แต่ อะไรเป็นธรรมะ? อะไรเป็นสัจธรรม? อะไรเป็นการตรัสรู้? เผินมาก!!
ถ้าจะเป็นผู้ที่เคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ "ฟังทุกคำ" แล้วก็ "ไตร่ตรองทุกคำ" จนกระทั่ง "เข้าใจแต่ละคำ" เพราะคำนั้นเป็นคำของใคร? ไม่ใช่คำของครูบาอาจารย์คนโน้น คนนี้ คนนั้นเลย แต่เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มปลูกฝังความเป็นผู้ตรง และการได้ยินได้ฟังอะไร ไม่ใช่ให้เราเชื่อหรือตามๆ กันไป โดยไม่เข้าใจ แต่ว่า ทุกคำ สามารถที่จะเข้าถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ตามลำดับ ถูกไหม? ในเมื่อเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ลึกซึ้งหรือ? และสิ่งที่ลึกซึ้ง อยู่ไหน? ต้องไปหาที่ไหนไหม? ถ้าได้ยินได้ฟัง ยังไม่รู้เลยว่าอะไรลึกซึ้ง จะไปหาได้อย่างไร
แต่ว่า เดี๋ยวนี้ มีอะไร? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หรือเปล่า? ลองคิดดู เพียงเท่านี้ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? ในเมื่อสิ่งนี้มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อไปอีกทุกขณะ ไม่เปลี่ยน ความจริงต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ใครรู้ความจริง ว่าเดี๋ยวนี้แหละ เรารู้ความจริงหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่เป็นความจริงทุกขณะ
ถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียด จะไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพในความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าเป็นอย่างธรรมดาๆ ใครก็คิดได้ คนโน้นคิดอย่างนี้ คนนี้คิดอย่างนั้น แต่ใครเป็นพุทธะ? ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ และต้องมีความเข้าใจ มิฉะนั้น จะหลงคิดว่า นี่เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แต่ทุกคำของพระองค์ ให้ทุกคนที่ได้ฟัง ไม่ใช่เชื่อ แต่ฟังให้เข้าใจ คำนั้นจริงหรือเปล่า? ถูกต้องไหม? เป็นความรู้ของตนเอง ที่ได้รับ จากการตรัสรู้
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ คือมีโอกาสได้รู้ว่า ความจริง คืออะไร และผู้ที่จะรู้ความจริงได้ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม? ลองคิดดู มีคนอื่นไหม? มีใครไหม? แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้กล่าวถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ถ้าพระองค์ไม่กล่าวถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ ใครจะรู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เมื่อตรัสรู้อย่างไร ตรัสความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้อย่างนั้น ให้คนที่ได้ฟัง เริ่มรู้ว่า รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ถูกไหม? นั่งกันอยู่อย่างนี้ มีความสามารถนานาประการ แต่ว่า เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจถูกต้อง จึงรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย จริงหรือเปล่า? ถ้ารู้แล้ว ไม่ต้องฟัง ใช่ไหม? แต่ที่ฟัง เพื่อจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอะไร ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่า เราไม่เคยรู้มาก่อน...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีทุกประการของคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ คุณอัคราและคุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอเชิญคลิกชมและฟังบันทึกการสนทนาธรรมครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- คลิกฟังข่าวการบริจาคที่ดิน เพื่อเป็นที่ตั้งของบ้านธัมมะภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา
ขอเชิญติดตามกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- ข่าวคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ บริจาคที่ดินเพื่อก่อสร้าง บ้านธัมมะภาคใต้
- คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ ได้รับพระราชทานโล่จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
- บ้านธัมมะภาคใต้
- ขออนุโมทนาคุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์
- คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ กับประสบการณ์ของการแสวงหาธรรม
กราบอนุโมทนาครับ
อนุโมทนา สาธุครับ.
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และความสามัคคีร่วมแรงกายแรงใจในการเผยแพร่พระธรรมของบ้านธัมมะภาคใต้ เป็นต้นแบบของการเป็นที่สำหรับสร้างเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าแห่งพระธรรมให้รุ่งเรือง ณ แผ่นดินภาคใต้ค่ะ