พระพุทธองค์ตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ จงแก้ที่เหตุแห่งธรรมเหล่านั้น"
ดังนั้น ผมจึงคิดเสมอว่าหากเราต้องการที่จะดับสังสารวัฏฏ์ เราก็ต้องค้นหาคำตอบว่าจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏฏ์มันอยู่ที่ไหน และอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้มีสังสารวัฏฏ์เกิดขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน บางครั้งผมจินตนาการครับว่า หากเราสามารถระลึกชาติได้แล้วย้อนอดีตไปอีกหลายแสนกัป เราจะพบคำตอบไหมว่าจุดตั้งต้นของการเกิดมาในสังสารวัฏฏ์จริงๆ นั้นมันอยู่ตรงไหน หากย้อนอดีตไปเมื่อหลายล้านปีก่อน ก่อนที่โลกของเราและระบบสุริยะจักรวาลจะถือกำเนิดขึ้น ผมคิดว่าตอนนั้นคงจะยังไม่มีเราและสรรพชีวิตใดๆ เกิดขึ้น
ผมจึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าการเกิดขึ้นของสรรพชีวิตและจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏฏ์นั้นอยู่ตรงไหน การเกิดของสภาพธรรมทั้งหลายเริ่มต้นเมื่อใด และใครทำให้เกิดขึ้น พระผู้สร้างมีจริงหรือไม่ ผมคิดว่าพระพุทธศาสนาคงจะมีคำอธิบายและช่วยไขความลับนี้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เบื้องต้น เบื้องปลาย ไม่ปรากฏ เพราะ สังสารวัฏฏ์ยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน ไม่สามารถที่จะรู้ได้ และ พระองค์ไม่ทรงแสดง ว่า เมื่อไหร่ แต่ ทรงแสดงว่า จาก ความไม่รู้ เป็นสำคัญ ครับ
สิ่งที่สำคัญ การจะหาเบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถทำให้ละคลายกิเลสได้แต่กลับเพิ่มความสงสัยว่าจริง หรือ ไม่จริง ขณะที่สงสัย ไม่แน่ใจ ขณะนั้นไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังเพิ่มกิเลส เพิ่มขยะเข้าไปในจิตใจแล้ว
เพราะฉะนั้น บางปัญหาพระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เพราะว่าเมื่อพยากรณ์ ตอบไป ก็กลับเพิ่มความสงสัย เพิ่มกิเลสให้ผู้ถาม หรือ อาจทำให้มีโทษกับผู้ถาม เพราะ เกิดจิตที่คิดไม่ดี กับ พระพุทธเจ้า ว่าพระองค์กล่าวคำไม่จริง เพราะ ไม่ตรงกับความคิดของตน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมที่เหมาะสม ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประโยชน์ คือ การละคลายกิเลสเท่านั้นและ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา เพราะ สาระของชีวิต คือ การมีความเห็นถูก ปัญญาอันเกิดจากการฟัง,ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงและเห็นแล้วว่า ไม่เหลือวิสัยของสัตว์โลกที่จะเข้าใจได้ ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒-หน้าที่ 463
จินตสูตร
.......... .เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่องโลกว่า โลกเที่ยงโลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัดความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[๑๗๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิดนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย... เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาครหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า สังสารวัฏฏ์ ยาวนาน เพราะยังมีอวิชชา เป็นเครื่องกางกั้น และ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ จึงทำให้สัตว์ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ อย่างไม่มีวันจบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
สังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด และ หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง
การที่จะดับกิเลส พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น ต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรได้เลย แล้วปัญญาจะมาจากไหน จะเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งทุกคนจะต้องเริ่มตั้งแต่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวันนั่นเอง เพราะปัญญาจะมีมากได้ ก็ต้องอาศัยการสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย ครับ.
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อจินไตย 4 ประการ ไม่ควรคิด ไม่ใช่วิสัยของบุคคลทั่วไปที่จะรู้ได้ คือ
1. พุทธวิสัย
2. ฌานวิสัย
3. กรรมวิสัย
4. โลกวิสัย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ยินดีในกุศลจิตครับ