ไอ้ที่เหตุที่มันเกิดเนี่ย... มันเกิดเพราะว่าปริยัติกับปฏิบัติมาคลุกเคล้ากัน ปริยัติมันเป็นปริยัติ ปฏิบัติมันเป็นปฏิบัติ แต่นี้เขาไปยึดปริยัติ แล้วบอกว่าปฏิบัติต้องให้เป็นไปตามปริยัติ คือ ปฏิบัติเนี่ยเป็นข้อเท็จจริงแล้วนี่ต้องให้เป็นไปตามทางวิชาการ มันเลยขัดแย้งกันอยู่นี่ไง ฉะนั้นในวงปฏิบัติเห็นไหม เมื่อก่อนเราเน้นบ่อยมาก ว่าหลวงตาเป็นมหา แล้วท่านตั้งใจไว้แล้วว่า ศึกษาจนเป็นมหาแล้วจะออกไปปฏิบัติ เวลาไปหาหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่นพูดเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าเทิดทูนไว้เหนือเกล้า ธรรมะพระพุทธเจ้าเทิดทูนไว้เหนือเกล้า แล้วใส่ในลิ้นชักไว้ แล้วใส่กุญแจรัดมันไว้อย่าให้มันออกมา ถ้ามันออกมาเวลาปฏิบัติ มันจะขัดแย้งกัน
แล้วในปัจจุบันนี้เขาเอาปริยัติเป็นแนวตั้ง แล้วปฏิบัติ มันก็เลยขัดแย้งกันนี่ไง ที่หลวงปู่มั่นบอกไว้ไง หลวงปู่มั่นท่านเตือนไว้แล้ว เพราะว่าหลวงปู่มั่น เวลาท่านค้นคว้าท่านปฏิบัติแล้ว ท่านก็ไปศึกษาปริยัติ พอไปศึกษาปริยัติแล้ว มันมีการขัดแย้งกันในมุมมอง มันขัดแย้งกัน ทีนี้พอมาปฏิบัติปั๊บ แต่นี้ท่านก็บอก ตัวท่านเองท่านมีประสบการณ์ของท่าน เพราะท่านเป็นอาจารย์ใช่ไหม พอหลวงตามา...ท่านบอกหลวงตาเลยบอกว่า ธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ย... มหา เรียนมาถึงเป็นมหา นี่ความรู้เยอะนะ นี่ความรู้อันนี้เทิดใส่เกล้าไว้ เทิดใส่เกล้า
คำว่าเทิดใส่เกล้า พวกเราเนี่ยไม่มีมุมมอง มุมมองเนี่ยผิดพลาดไปจากพระไตรปิฎกเลย พระไตรปิฎกเชิดชูไว้ใส่เกล้าเหนือเกล้า เคารพบูชามาก แต่บอกถ้าปฏิบัติเอาใส่ในลิ้นชักไว้ แล้วเอากุญแจลั่นมันไว้อย่าเอามันออกมา เดี๋ยวมันจะมาเตะมาถีบกัน เดี๋ยวมันจะมาขัดแย้งกัน แต่ในพวกปัจจุบันนี้ พวกนี้เขาไม่ได้เอาปริยัติที่เขาได้เรียนมาแล้วใส่ไว้ในลิ้นชัก คือเขามาคลุกเคล้ากันแล้วเขาปฏิบัติ มันก็เลยมาเถียงกันอยู่อย่างนี้ไง เราถึงย้อนกลับว่า เรายืนยันว่า ปฏิบัติ ผิด ผิด ผิด ผิด ผิดแน่ๆ
คัดลอกจาก www.sa-ngob.com/sermon-morning-detail/160
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สาวกคือ ผู้สำเร็จได้จากการฟัง ฟังอะไร คือ ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพื่ออะไร เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับ คือ เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้องคือ ปริยัติ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธ การบรรลุธรรม ดังนั้นจึงเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งปริยัติและปฏิบัติไม่ได้แยกจากกัน คือ เกี่ยวเนื่องกันไปครับ
ถ้าไม่เข้าใจขั้นการฟัง จะปฏิบัติถูกไม่ได้เลยครับ แต่เพราะอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจในขณะที่ศึกษา ในขณะที่ฟัง ขณะนั้นปัญญาค่อยๆ เจริญแล้ว จนถึงปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้ ขณะนั้นก็เป็นปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติ คือ ปัญญาเกิดรู้ความจริงนั่นเอง อันอาศัยปริยัติคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
ดังนั้นเพราะอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมก็ย่อมทำให้เข้าใจว่า ปฏิบัติคืออะไร เพราะถ้าไม่ศึกษาจากพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง จะเข้าใจได้อย่างไรว่าปฏิบัติคืออะไร คำพูดใดของบุคคลใด ถูกหรือผิด แม้แต่คำว่าปฏิบัติ ก็เข้าใจเป็นการทำอะไรซักอย่างที่ยุคสมัยนี้เข้าใจว่าคือการทำ การนั่งสมาธิคือการปฏิบัติ แต่ในความจริงแล้ว คำว่า ปฏิบัติ แปลความหมายแล้ว หมายถึง การถึงเฉพาะ ถึงเฉพาะซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ครับ
ปฏิบัติธรรม จึงหมายถึง ถึงเฉพาะธรรม แต่ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อนขั้นการฟังให้ถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร แล้วจะไปหาธรรมอะไร ไปปฏิบัติธรรมอะไร ในเมื่อยังไม่เข้าใจในสิ่งที่หา คือ ธรรม ครับ เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะ ที่ไม่ใช่สัตว์บุคคล ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม อันเป็น จิต เจตสิก รูป เช่น การเห็น เป็นจิต เป็นธรรม การได้ยิน เป็นจิต เป็นธรรม คิด เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เป็นธรรม ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิก เป็นธรรม เสียง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูป เป็นธรรม จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า ธรรมคือ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น การปฏิบัติธรรม หรือ ที่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อรู้ตัวธรรม ก็ต้องรู้สิ่งที่เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน มีตอนอยู่ในห้องปฏิบัติใช่หรือไม่ ตัวธรรม มีตอนที่นั่งสมาธิหรือไม่ครับ หรือมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมก็คือการรู้ความจริงในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ด้วยการฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เรื่องสติปัฏฐาน จะเห็นครับ ว่า เพราะอาศัยการศึกษา ฟังพระธรรมที่ถูกต้องก็ย่อมเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ก็จะทำให้เป็นผู้เดินทางในหนทางที่ถูกด้วยการศึกษาพระธรรม นี่คือประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมทำให้เห็นถูกและเข้าใจในสิ่งที่ถูกตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่า ธรรมและคำว่าปฏิบัติธรรมครับ
ประโยชน์ของการฟัง ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง จึงเป็นเบื้องต้นของการบรรลุธรรม ครับ สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ต้องอาศัยการฟังธรรม พิจารณาธรรมโดยแยบคาย และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ ปัญญาเกิดในขณะที่ฟังธรรมนั่นเอง ย่อมถึงความเป็นพระโสดาบันครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279
๕. ทุติยสาริปุตตสูตร ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา
[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตรที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ * ๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.
[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญโสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
[๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑. ฯลฯ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายพระธรรม เรื่อง จิตปรมัตถ์ เล่ม ๒
โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวรเขตต์
ท่านอาจารย์สุจินต์ ซึ่งข้อความใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาขุททกวัตถุ วิภังค์ปาปิจฉตานิทเทส อธิบายว่า “ความปรารถนาลามก” ซึ่งทำอาการต่างๆ ให้พวกมนุษย์เลื่อมใส มีข้อหนึ่งที่กล่าวว่า แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า “เราย่อมสละปริยัติ” ดังนี้ เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวด ๓ แห่ง ธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั้นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่า “ปริยัติ” ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
นี่คือผู้ที่มีปัญญาทราม แต่ด้วยความปรารถนาลามก ก็ปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นเห็นว่า ตนเป็นผู้ที่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ก็กล่าวว่า ชื่อว่า “ปริยัติ” ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ เพราะเหตุว่า แสดงว่า ตนเองปฏิบัติ และมรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่า “ปริยัติ”
นี่เป็นผู้ที่มีปัญญาทราม แต่ปรารถนาจะให้คนอื่นเห็นว่า “ต้องปฏิบัติแล้วสละปริยัติ” เพราะเหตุว่าการสนใจในปริยัติย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคนมีปัญญามาก โดยการกล่าวอย่างนั้น ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า “ย่อมทำลายพระศาสนา” ชื่อว่า “มหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ย่อมไม่มี” เพราะว่าบุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่
ท่านผู้ฟังเห็นประโยชน์ของการศึกษาปริยัติ หรือ เห็นว่าไม่สมควรจะศึกษา
ผู้ถาม คำพูดอันนี้ผมได้ยินมากทีเดียว แต่เพิ่งจะรู้เมื่ออาจารย์ยกอรรถกถา ขึ้นมาว่า ผู้ที่พูดเช่นนี้ เป็น “มหาโจรปล้นพุทธศาสนา” แท้ที่จริงมีพระสายกัมมัฏฐานมากรูปทีเดียวว่า ผู้ที่จะพ้นทุกข์นี้ จะต้องปฏิบัติอย่างเดียว ปริยัตินี้ทำให้พ้นทุกข์ไม่ได้ คำพูดอย่างนี้มีอยู่ในพระสายกัมมัฏฐานมากมายและท่านพูดบ่อยเสียด้วย
ภิกษุ ที่อาตมาศึกษามาตั้งแต่เป็นฆราวาสทุกสำนัก อาตมาฟังวิทยุ สำนักไหนดี ไป เข้าไม่ได้โยม เต็ม ลำบาก ทำจนหมดปัญญา สุดปัญญา สมาธิทำจนเป็นไข้มาลาเรีย ไม่รู้ เอาเลือดเข้าแลกเพื่อให้ได้สมาธิ ทำจนหมดปัญญา คิดว่า ศาสนาไม่มีอะไรเลย ต่อมาฟังอาจารย์กิตติ นิยายอิงธรรมะ
ฟังอาจารย์สุจินต์ก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ทนฟังจนเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็หมดปัญหา ชีวิตอาตมาเท่าที่ผ่านมา เกิดชาติใดฉันใด บุญกุศลที่ทำ ขอให้เจอนักปราชญ์ แล้วก็เจอจริงๆ ชีวิตอาตมาปลื้มใจที่สุดเจออาจารย์สุจินต์ชุบชีวิตอาตมาขึ้นมาก ปลื้มใจมากเพราะลำบากมาก ไปทุกสำนัก เพราะว่าอาตมาเกิดมาเป็นคนโลภมาก กลัวตาย สาเหตุที่ไปเพราะกลัวตาย ยังสร้างกุศลน้อย อยากจะสร้างบุญเยอะๆ ไปทุกสำนัก ทำเท่าไรๆ ก็ไม่ได้ เบื่อ ที่มาได้นี้อาศัยโยมอาจารย์สุจินต์ อาตมาก็ไม่รู้จะทดแทนอะไร จะทดแทนคือ ปฏิบัติตาม วันพระ ๑๕ ค่ำ ทุกวันอุโบสถ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ ทั้งๆ ที่อาจารย์ก็ยังมีชีวิตอยู่ ก็แผ่เมตตาให้อาจารย์ ประสบพบความสุข เพราะชีวิตอาตมาอาศัยอาจารย์จึงรอดมาได้
ท่านอาจารย์สุจินต์ ขอกราบนมัสการอนุโมทนาเจ้าค่ะ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ถูกต้องคืออย่างไร
การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่งในทุกคำ เพราะทุกคำของพระองค์ เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก โดยตลอด ถ้าประมาท เผิน คิดธรรมเอาเอง นั่นคือ ผิด เมื่อตนเองผิดแล้ว ก็สอนให้คนอื่นผิดด้วย ทำลายทั้งตนเอง ทำลายทั้งผู้อื่น และทำลายสิ่งที่มีค่าที่ประเสริฐที่สุดคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เท่ากับเป็นการเบียดเบียนประทุษร้ายต่อพระองค์ ซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)