ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สติ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก สติ เป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย สติ ทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี และ สติเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส
สติ มีหลายอย่าง หลายชนิด แต่ สติ ก็ต้องกลับมาที่ สติเป็น สภาพธรรมฝ่ายดีครับ สติ แบ่งตามระดับของกุศลจิต เพราะเมื่อใด กุศลจิตเกิด สติจะต้องเกิดร่วมด้วย กุศลจิต มี ๔ ขั้น คือ ขั้นทาน ศีล สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา
สติจึงมี ๔ ขั้น คือ สติที่ระลึกเป็นไปในทาน สติที่ระลึกไปในศีล สติที่ระลึกเป็นไปในสมถภาวนา และ สติที่ระลึกเป็นไปในวิปัสสนาภาวนา
สติขั้นทาน คือ เมื่อสติเกิดย่อมระลึกที่จะให้ สติขั้นศีล คือ ระลึกที่จะไม่ทำบาป งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ สติขั้นสมถภาวนา เช่น ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และ สติขั้นวิปัสสนา คือ สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เกิดพร้อมปัญญารู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ดังนั้น สติ จึงเป็นสภาพธรรม ที่ระลึกเป็นไปในกุศลทั้งหลาย และ ขณะใดที่สติเกิดขณะนั้น อกุศลไม่เกิด เพราะกั้นกระแสกิเลสในขณะนั้น สติเป็นโสภณเจตสิก เกิดกับโสภณจิต ซึ่งโสภณจิต ไม่ได้หมายเพียง กุศลจิตเท่านั้น กิริยาจิตและวิบากจิตด้วยก็ได้ เพราะฉะนั้น สติเจตสิกจึงเกิดกับ วิบากจิต และ กิริยาจิต ได้ด้วยครับ เช่น พระอรหันต์ที่มีจิตเมตตา เป็นกิริยาจิต แต่ก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น แม้เป็นกิริยาจิต ครับ
ดังนั้น สรุปได้ว่า กุศลจิตและกุศลกรรมบถ ๑๐ เมื่อเกิดต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ จะเกิดโดยไม่มีสติเจตสิกไม่ได้ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โดยปกติของปุถุชนแล้ว เป็นผู้ตกไปในฝักฝ่ายของอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นผู้มีโทษมาก เพราะกาย วาจา และใจ เป็นไปกับด้วยอกุศล ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าจิตไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิตและการอบรมเจริญปัญญาแล้ว เป็นอกุศลทั้งนั้น (เมื่อไม่กล่าวถึงขณะที่เป็นวิบาก และ กิริยา) มีเพียงกุศลเกิดแทรกสลับกับอกุศล เท่านั้นจริงๆ ขณะที่จิตเป็นกุศล ประกอบด้วยโสภณเจตสิกฝ่ายดีประการต่างๆ มี ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น ดังนั้น ในขณะที่คุณความดีเกิด ไม่เคยขาดสติ เลย ซึ่งเป็นความเป็นจริงของสภาพธรรม ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงหรือคัดค้านไม่ได้
สติ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณสาธารณเจตสิก ที่เกิดกับจิตทีดีงามทุกประเภท ไม่มีเว้น รวมถึง เกิดร่วมกับกุศลจิตด้วย สติ ซึ่งป็นสภาพธรรมฝ่ายดี จะไม่เกิดร่วมกับ อกุศลจิต อย่างเด็ดขาด จะไม่เกิดร่วมกับ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนั้น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ให้เป็นอย่างอื่นไปได้ สติ ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล ในทานบ้าง ศีล บ้าง ภาวนาบ้าง ถ้าไม่มีสติ กุศลจิตรวมถึงเจตสิกฝ่ายดีอื่นๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ขณะที่เป็นอกุศล ไม่มีสติ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ที่เต็มไปด้วยอวิชชา ความหลง ความไม่รู้ โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ เป็นต้น ขณะนั้นหลงลืมสติ ไม่เป็นกุศล ไม่สามารถที่จะพิจารณาสภาพธรรมในชีวิตประจำวันได้ตามความเป็นจริง จนกว่าสติจะเกิดเมื่อใด มีการระลึกได้แม้ในเหตุในผล ในความถูกต้อง ในความเหมาะควรในชีวิตประจำวันขณะใด ขณะนั้นก็เป็นการเกิดขึ้นของสติ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นยุคใด สมัยใด การที่กุศลธรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็เพราะสติเกิดขึ้น
เมื่อไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ แม้เพียงการฟัง ก็ยังจะต้องประกอบด้วยสติ หรือ ฟังด้วยสติ พิจารณาจริงๆ ในเหตุในผลของธรรม จึงจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมและกุศลทั้งหลายก็จะเจริญยิ่งขึ้นด้วย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ