ขอความกรุณาช่วยอธิบายให้ทราบด้วยว่า
ทำไมขณะที่คิดจึงปิดบังสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเจริญสติปัฏฐาน คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยสติและปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ขณะที่คิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด ขณะที่คิด ไม่ได้รู้ลักษณะ เพราะ ขณะนั้น มีบัญญัติ เรื่องราวเป็นอารมณ์ ขณะนั้น ปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะ ขณะที่คิด สติและปัญญาไม่ได้เกิดรู้ตรงลักษณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ที่รู้ตรงลักษณะและไม่ปิดบังธรรม เพราะ กำลังรู้ความจริง ที่เป็นตัวปรมัตถธรรม จึงเป็นสติและปัญญาที่ไม่ใช่ขั้นคิดเรื่องราว ซึ่งบางครั้งเมื่อสภาพธรมกำลังปรากฏ ก็จะคิดว่า นี่เสียง นี่ได้ยิน นี่เห็น ขณะที่คิด ขณะนั้น มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ได้มีตัวเห็น ได้ยินเสียง เป็นอารมณ์ หรือ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ ไม่ได้มีลักษณะปรากฏกับสติและปัญญาจริงๆ เพียงการคิดเท่านั้น จึงปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะไม่ได้รู้ตัวลักษณะจริงๆ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เพราะในขณะที่คิด ไม่ได้มีสภาพธรรมใดปรากฏแก่สติ
มีแต่บัญญัติและเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ
แม้แต่ลักษณะของ "คิด" ในขณะนั้นก็ถูกปิดบังด้วยเรื่องราว
ดังนั้นในขณะที่คิด สิ่งที่มีจริงคือสภาพคิดในขณะนั้นซึ่งเป็นนามธรรมค่ะ
ขออนุญาตเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกสักนิดนะครับ
เนื่องจาก ความคิด นั้น เป็นไปได้ ทั้งกุศลและอกุศล หากเป็นความคิดไปในเรื่องที่เป็นอกุศล ขณะนั้น คงจะเป็นที่แน่ชัดว่า ความคิด ปิดบังสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏแน่นอน แต่หากเป็นความคิดที่เป็นไปในเรื่องที่เป็น กุศล โดยเฉพาะในระดับที่สูงกว่ากุศลขั้น ทานและศีล แต่เป็นขั้นศึกษาเพื่อความเข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นต้น ขณะนั้น สภาพของจิต คงเป็นกุศลจิต แต่ก็ด้วยขณะนั้น ตรึก ไปในเรื่องราวของสภาพธรรม ก็เพื่อจะเข้าใจสภาพธรรม เช่นนี้ แม้จะยังไม่เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แต่คงจะไม่ถือว่าเป็นการปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ใช่ไหมครับ เพียงแต่ว่าสภาพธรรมขณะนั้นไม่ปรากฏแก่จิตที่ยังไม่มีปัญญาในระดับที่สามารถเข้าใจและประจักษ์สภาพธรรมได้
แต่จะถือได้หรือไม่ครับว่า กำลังเป็นการเข้าถึง สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงในแต่ละขณะ ต่างไปจาก ความคิด ที่เป็นไปในอกุศล ที่นอกจากจะปิดบังและน่าจะทับถมไม่ให้มีโอกาสที่จะเป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ความคิดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ ก็เกิดขึ้นก็ด้วยการสะสม ดังนั้น การสะสมความคิดที่ถูกต้องเพื่อเข้าใจพระธรรม น่าจะเป็นเครื่องช่วยให้เห็นความเป็นจริงได้ต่อไป จะถูกต้อง หรือ มีสิ่งใดที่ต้องพิจารณา อีกหรือไม่ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ดังนั้น ก็จะต้องกลับมาที่คำว่า การปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีหลากหลายนัยอย่างไร ครับ
ขณะที่เป็นอกุศล มีความไม่รู้เกิดร่วมด้วยเสมอ ที่เป็นโมหเจตสิก ดังนั้น อกุศล ทุกๆ ประเภท ที่มีความไม่รู้ ปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ให้ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้น เพราะฉะนั้น การปิดบังสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยอวิชชานี่ นัยหนึ่ง
ส่วนกุศลขั้นทานและศีลที่เกิดขึ้น ที่ไม่มีปัญญาเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสติปัฏฐาน ขณะนั้นไม่รู้ความจริง เพราะ ไม่มีปัญญา จึงถูกปิดบังสภาพธรรม เพราะ ไม่มีปัญญาเกิดในขั้นสติปัฏฐาน แต่ไม่ได้หมายความว่า ตัว ทาน และ ศีลไปปิดบังสภาพธรรม ครับ นี่ก็อีกนัยหนึ่ง
ส่วนกุศลขั้นการฟังในเรื่องสภาพธรรม หรือ แม้กุศลขั้นคิดนึก ที่ตรึกในเรื่องสภาพธรรมที่เป็นสติปัฏฐาน ตัว กุศลที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวที่ปิดบังสภาพธรรม แต่ ตัวที่ปิดบังสภาพธรรม คือ ไม่มีปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน รู้ตัวลักษณะของสภาพธรรม
และ ที่สำคัญ ตัวอารมณ์ คือ บัญญัตินั่นเองที่ปิดบังสภาพธรรม ไม่ให้รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา แต่ กุศลที่เกิดจากการฟังพระธรรม การคิดพิจารณาถูกต้อง เป็นเหตุให้เกิดสติปัฏฐานได้ ครับ แต่ ขณะที่คิดนึกในเรื่องสภาพธรรม ถูกปิดบังแล้ว ด้วยการมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ส่วนตัวกุศลจิตที่เกิด ไม่ได้ทำหน้าที่ไปปิดบัง แต่เป็นเหตุให้เกิดสติปัฏฐาน ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ
ได้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเลยครับ
ดังนั้น สรุปได้หรือไม่ครับว่า
ความคิดที่เป็นไปในอกุศล ปิดบัง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เนื่องด้วยอวิชชา
ความคิดที่เป็นไปในกุศล ปิดบัง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เนื่องด้วยไม่มีปัญญา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านมากครับ
ถูกต้อง ครับ
เพิ่มเติมอีกนิด คือ ไม่มีปัญญาที่เป็นระดับ สติปัฏฐาน
ขออนุโมทนาในความเห็นถูก
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ