ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด – 19 คือ โรคระบาดที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ Corona virus เริ่มต้นระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และแพร่เชื้อระบาดไปทั่วทั้งโลกตั้งแต่ต้นปี 2020 ทำให้การดำเนินชีวิตปกติประจำวันของประชากรทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไปเพื่อหยุดการระบาดของเจ้าไวรัสตัวเล็ก ศัตรูที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มีพิษสงทำลายล้างสูง เพราะกระจายเป็นละอองฝอยไปกับน้ำลาย หรือแม้แต่ลมหายใจของผู้มีเชื้อไปในอากาศขณะที่ไอ จาม หรือแม้แต่พูด และสามารถเกาะติดตามพื้นผิวสัมผัสต่างๆ ได้นานหลายวัน จึงติดตามมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า ภาชนะเครื่องใช้สอยต่างๆ และทุกที่ที่เชื้อกระเด็นไปถึง รวมทั้งพื้นดินที่ทุกคนต้องเหยียบ และเมื่อติดเชื้อนี้แล้วจะเป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด จนกว่าจะมีไข้ เจ็บคอ ไอแห้ง ซึ่งอาการจะปรากฏหลังจากติดเชื้อแล้ว 5 -14 วัน หรืออาจจะมากกว่า ระหว่างที่เป็นปกตินี้จึงแพร่เชื้อได้มากด้วยการใช้ชีวิตตามปกติ จับมือทักทาย กอดจูบ พูดคุยกัน จับสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อคนอื่นมาสัมผัสต่อก็จะติดเชื้อนี้ทำกระจายได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อนักระบาดวิทยาศึกษาวิจัยความเป็นไปของเจ้าไวรัสนี้แล้ว รัฐบาลไทยจึงรณรงค์ให้ล้างมือบ่อยๆ กินอาหารปรุงใหม่ร้อนๆ ช้อนเรา สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างน้อย 1 เมตร ห้ามทักทายด้วยการจับมือ กอดจูบ ตามวัฒนธรรมที่ต่างกันของชาติต่างๆ การไหว้แบบชาวตะวันออกอย่างไทย อินเดีย จึงเป็นที่นิยม ไม่ต้องพูดถึงการแสดงความรักแบบเดิมๆ การไปมาหาสู่ระหว่างพ่อแม่ เพื่อนฝูง ญาติสนิทต้องงดเว้นไปก่อน แต่ละประเทศก็ออกมาตรการเพื่อชะลอการระบาดของโลก เพื่อไม่ให้มีคนติดเชื้อมากเกินไปจนไม่มีโรงพยาบาล เครื่องมือและบุคคลาการทางการแพทย์เพียงพอจะรักษาผู้ติดเชื้อ จนหมอต้องเลือกว่าจะรักษาใครตามข่าวที่ปรากฏในต่างประเทศ และต่อไปนี้ทุกคนต้องใช้ชีวิตปกติแบบใหม่ ที่เรียกว่า new normal คือ ต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน มีเจลล้างมือติดตัวไปด้วยเสมอ เว้นระยะห่างทางสังคม และทำตามมาตรการที่ พรก.ฉุกเฉินกำหนด เป็นต้น ซึ่งรวมถึงการปิดสถานที่มีคนไปชุมนุมกันมากๆ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงต้องปิดไปด้วยโดยไม่มีกำหนด ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563
ในระหว่างนี้ผู้คนจึงมีการติดต่อกันทางสังคมออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งสมาชิกชมรมบ้านธัมมะซึ่งมีหลายกลุ่มได้จัดสนทนาธรรมออนไลน์ขึ้น และคุณจั๊บ สิบพัน จากกลุ่มวรนารีเฉลิม ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เข้าร่วมสนทนาธรรมออนไลน์ด้วยทุกบ่ายวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และต่อมาก็มีอีกหลายกลุ่มที่เรียนเชิญท่านอาจารย์เข้าร่วมกลุ่มเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งด้วย จึงได้ฟังการสนทนาธรรมทุกวัน ทั้งเช้าและบ่าย รวมถึงวันอาทิตย์ที่คุณจอนและซาร่าห์ได้เรียนเชิญท่านอาจารย์สนทนาธรรมภาษาอังกฤษกับผู้สนใจจากทั่วโลกด้วย วิกฤตโควิด – 19 จึงเป็นโอกาสดีของผู้สนใจความจริงที่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างเข้มข้น
ได้ฟังการสนทนาธรรมของทุกกลุ่มจาก Youtube จึงไม่ได้ร่วมสนทนาด้วย ได้แต่ฟัง ซึ่งดีมาก เพราะตั้งใจฟังท่านอาจารย์พูดอย่างเดียว ไม่ต้องคิดว่าจะถามอะไร หรือคิดว่าเมื่ออาจารย์ถามกลับจะตอบอย่างไร แต่ก็คิดคำตอบในใจเมื่อท่านอาจารย์ถามคนอื่น ทำให้มีความเข้าใจมั่นคงยิ่งขึ้นว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก ยากที่จะประจักษ์แจ้งได้ด้วยเพียงการฟัง ไม่พิจารณาไตร่ตรองตาม แม้ความรู้ขั้นฟัง ขั้นไตร่ตรองก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกมาก จึงต้องฟังต่อไป ไตร่ตรองต่อไปเมื่อยังมีโอกาสได้ฟัง และเมื่อได้ติดตามฟังทั้งเช้าบ่ายทุกวันตามที่ผู้มีกุศลจิตส่งลิงค์มาให้ (คงกลัวคนแก่ลืม ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้)
แต่ก็เก็บประเด็นได้นิดเดียวว่า ชีวิตที่เหลือต่อไปนี้นอกจากจะต้องมีชีวิตวิถีใหม่ทางกายภาพเพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคที่สามารถอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัวเลย แต่ก็สามารถแพร่เชื้อนี้ไปยังผู้อื่นได้ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งแล้ว ยังต้องมีชีวิตวิถีใหม่ทางใจเพื่อป้องกันตัวเองจากโรคกิเลส โดยเฉพาะโลภะที่ติดตามเป็นเพื่อนสนิทในสังสารวัฏฏ์โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ทำให้ติดข้องด้วยความเป็นเรา เพราะไม่รู้ความจริง ด้วยการเป็นผู้ตรง ตรงต่ออะไร ตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา และไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะพึงยึดถือด้วย เป็นปกติอย่างไร เป็นปกติรู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา จนกว่าจะทั่ว แม้จะยังไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ แต่ก็รู้ว่า ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ใช่เรา เป็นปัญญาที่สะสมมาเพียงพอที่จะรู้หรือยังเท่านั้น
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่ทุ่มเทอุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อเผยแพร่ความเห็นถูกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว ให้ผู้ฟังรู้ตามว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แม้จะยากแสนยากที่จะรู้ตาม แต่ท่านก็ไม่ท้อถอยที่กล่าวสอนซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส ยินดีด้วยกับท่านผู้จัดสนทนาธรรมออนไลน์ทุกกลุ่มที่ทำให้เวลาที่ต้องอยู่กับบ้านเพื่อป้องกันโรคกายนั้นผ่านไปอย่างมีค่ายิ่ง เพราะทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคใจด้วยความเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น และแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปทีละขณะ ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนความฝันที่ตื่นขึ้นมาแล้ว บางครั้งก็จำได้ บางครั้งก็จำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ชาติหน้าก็ลืมเหตุการณ์ทั้งหมดของชาตินี้ ซึ่งตรงกับที่ทรงแสดงไว้ว่า ทุกอย่างที่มีจริง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ ที่จะยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย
ตรงต่ออะไร ตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา และไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะพึงยึดถือด้วย เป็นปกติอย่างไร เป็นปกติรู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แม้จะยังไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ แต่ก็รู้ว่า ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ใช่เรา เป็นปัญญาที่สะสมมาเพียงพอที่จะรู้หรือยังเท่านั้น
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่ทุ่มเทอุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อเผยแพร่ความเห็นถูกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว
ยินดีในคุณความดีของทุกๆ ท่านคร้บ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
...กราบยินดีในกุศลพี่กาญจนา เชื้อทอง (พี่แดง) ด้วยค่ะ...
กราบท่านอาจาย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่แดงและกุศลจิตของทุกท่าน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ