การที่เราเจตนาด่าคนๆ หนึ่ง แต่สติเราไม่คงที่ ทำให้เกิดภาพซ้ำซ้อนขึ้นในสมองเป็นอีกคนๆ หนึ่ง โดยที่เราไม่ได้เจตนาจะด่าคนที่เกิดภาพขึ้นในสมองทีหลัง...แบบนี้ เท่ากับว่ากรรมจะเกิดผลกับการที่เราด่าคนไหนครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่อง ของกรรม และ ผลของกรรม ก็มีหลายระดับ มีความละเอียดลึกซึ้ง แตกต่างกันไป ซึ่งกรรมที่จะทำให้เกิดผล เกิดวิบาก จะต้องเป็นกรรมที่ครบกรรมบถ เพราะฉะนั้นแม้แต่การด่า ที่เป็นผรุสวาจา หากเพียงคิดด่าในใจ ก็ไม่เป็นกรรมที่ครบกรรมบถ เพราะ ไม่มีการล่วงออกมาทางกาย และ วาจาที่จะด่า ว่าคนอื่น แม้จะเกิด จินตนาการผิดคน จากที่ตั้งใจจะด่าคนนี้ แต่ ไปด่าคนอื่น ในใจ ก็ไม่เป็นกรรมที่จะทำให้เกิดผล หากแต่ว่า สิ่งที่ตามมา คือ การสะสมอกุศลจิตในใจ ที่จะทำให้เป็นผู้กล่าววาจาหยาบได้ง่ายขึ้น เพราะ สะสมกิเลส มีการว่าคนอื่นนั่นเอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ล่วงกรรมบถ คือด่าผู้อื่น ว่าคนอื่น ทางกาย วาจา ต่อไปในอนาคตได้ ครับ
ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม เป็นไปตามการสะสม ของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง แต่ละคนจึงมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมจริงๆ ดีบ้าง ไม่ดี บ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
เพียงแค่อกุศลจิตเกิดขึ้น โดยไม่ได้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ก็ยังไม่สำเร็จเป็นกรรมบถ ย่อมไม่เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าได้ แต่จะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย ถ้าสะสมมากขึ้นๆ ก็อาจจะเป็นเหตุให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมได้
ประเด็นที่ควรจะได้พิจารณาเพิ่มเติม คือ เรื่องที่เกี่ยวกับคำพูด หรือ ความประพฤติเป็นไปทางวาจา นั้น บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็จะเห็นได้ว่า มีคำพูดหลายอย่างที่ควรเว้น ไม่ควรพูด แสดงให้เห็นว่าเพราะจิตใจไม่ดี ความประพฤติเป็นไปทางวาจา จึงไม่ดี ด้วย เป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดคำพูดประการต่างๆ ขึ้นเป็นชีวิตจริง เป็นเรื่องของวจีทุจริตทั้งสิ้น ซึ่งควรละ ควรเว้น ไม่ควรสะสมให้มากขึ้นแต่สิ่งที่ควรสะสมให้มีขึ้น คือ กุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน นั่นเอง เมื่อจิตใจไม่สะอาด เป็นอกุศล คำพูดก็ไม่สะอาด เป็นไปตามจิตที่เป็นอกุศล ซึ่งจะแตกต่างไปจากคำพูดที่เกิดจากกุศลจิตอย่างสิ้นเชิง เป็นคำพูดที่ไพเราะ น่าฟัง เป็นประโยชน์ ไม่มีเสียดสี ว่าร้าย ส่อเสียด เป็นต้น พระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสของตนเองไปทีละเล็กทีละน้อย เตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะกิเลสที่สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยนี้เอง ในที่สุดก็จะมีกำลังจนถึงขั้นที่จะกระทำอกุศลกรรมได้ ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
ขออนุโมทนา
เรียนถามเพิ่มเติมว่า>>>
แล้วถ้าเกิดด่าออกมาเป็นคำพูดแล้ว โดยที่เราไม่ได้มีเจตนาจะด่าคนที่เกิดภาพขึ้นมาทีหลัง (คือ จะด่าคนแรกที่นึกในจินตนาการ) ล่ะครับ แบบนี้เท่ากับว่าเราด่าคนที่เกิดภาพขึ้นมาในใจ โดยสำเร็จเป็นกรรมบถรึเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การด่า เป็นการกล่าวคำที่กล้าแข็ง เผ็ดร้อน เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น นี้คือ ลักษณะของการพูดหยาบคาย ซึ่งเป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เจตนาเป็นสิ่งที่สำคัญ เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว ถ้าไม่มีเจตนา ก็จะไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นได้เลย สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ชีวิตประจำวัน ยากที่พ้นไปจากอกุศล การได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้เห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะยังไม่สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็สามารถขัดเกลาได้ในชีวิตประจำวัน มีความละอาย และความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศลประการนั้นๆ ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
เรื่องของจิต เป็นเรื่องที่รู้ยาก หยั่งถึง เพราะ จิตเกิดดับ สลับกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะที่มีเจตนาว่า ขณะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าจิตขณะไหน แต่ ก็มีการว่าแล้ว ซึ่งหากมีการว่า นั้น กรรมก็สำเร็จเป็นกรรมบถได้ ครับ