ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากคาถาที่ว่า อเสวนา จ พาลานํ.
[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 177
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสรรเสริญการคบบัณฑิต โดยธรรมทั้งปวงอย่างนี้
จึงตรัสว่า การคบบัณฑิตเป็นมงคล. บัดนี้
เมื่อจะทรงสรรเสริญการบูชาบุคคลผู้เข้าถึงความเป็นผู้ควรบูชา
โดยลำดับ ด้วยการไม่คบพาลและการคบบัณฑิตนั้น
จึงตรัสว่า ปูชาจปูชเนยฺยานํมงคลํ การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นมงคล.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าข้า ชื่อว่า ปูชเนยยะเพราะทรง
เว้นจากโทษทุกอย่าง และเพราะทรงประกอบด้วยคุณทุกอย่าง
และภายหลังจากนั้น ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย ชื่อว่าปูชเนยยะ.
จริงอยู่การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น แม้เล็กน้อย ก็เป็นประโยชน์สุข
ตลอดกาลยาวนาน. ในข้อนี้ มีเรื่องนายสุมนมาลาการและนางมัลสิกาเป็นต้น
เป็นตัวอย่างใน ๒ เรื่องนั้น จะกล่าวแต่เรื่องเดียว พอเป็นตัวอย่าง.
ความว่า เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรจีวร
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ขณะนั้น นายช่างดอกไม้ชื่อ
สุมนมาลาการ กำลังเดินถือดอกไม้สำหรับพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธ ได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงประตูกรุงผ่องใสน่าเลื่อมใสประดับด้วยพระมหาปุริ-
สลักษณะ ๓๒ ประการและพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการรุ่งเรื่องด้วยพระพุทธสิริ
ครั้นเห็นแล้ว เขาก็คิดว่า พระราชาทรงรับดอกไม้แล้วก็จะพึงประทานทรัพย์
ร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง ก็อันนั้นก็จะพึงเป็นความสุขเพียงโลกนี้เท่านั้น. แต่การ
บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมจะมีผลประมาณไม่ได้ นับไม่ถ้วนนำประโยชน์สุข
มาให้ตลอดกาลยาวนาน. เอาเถิดจำเราจะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้
เหล่านั้น ดังนี้เขามีจิตเลื่อมใส จับดอกไม้กำหนึ่งเหวี่ยงไปเฉพาะพระพักตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดอกไม้ทั้งหลายไปทางอากาศประดิษฐานเป็นเพดานดอก
ไม้อยู่เหนือพระผู้มีพระภาคเจ้า. นายมาลาการเห็นอานุภาพนั้น ก็มีจิตเลื่อมใส
ยิ่งขึ้น จึงเหวี่ยงดอกไม้ไปอีกกำหนึ่ง แม้ดอกไม้เหล่านั้น ก็ไปประดิษฐาน
เป็นเกราะดอกไม้. นายมาลาการเหวี่ยงดอกไม้ไป ๘ กำ อย่างนี้ ดอกไม้เหล่านั้น
ก็ไปประดิษฐานเป็นเรือนยอดดอกไม้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในเรือนยอด มหาชนก็ชุมนุมกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นนายมาลาการ ก็ทรงทำอาการแย้มให้ปรากฏ
พระอานนทเถระก็ทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จะไม่ทรงแย้มให้ปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
อานนท์ นายมาลาการผู้นี้จักท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์แสนกัป
ด้วยอานุภาพของการบูชานี้แล้วในที่สุดก็จักเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
นามว่าสุมนิสสระ. ตรัสจบก็ได้ตรัสพระคำถาม เพื่อทรงแสดงธรรมว่า
ตญฺจกมฺมํกตํสาธุยํกตฺวานานุตปฺปติ
ยสฺสปตีโตสุมโนวิปากํปฏิเสติ.
บุคคลทำธรรมใดแล้วไม่เดือดร้อนกายหลังบุค-
คลใจดีเอิบอิ่มแล้วเสวยผลของกรรมใดกรรมนั้นทำแล้วดี.
จบคาถา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรม การบูชาปูชเนยยบุคคลเหล่านั้น
แม้เล็กน้อยพึงทราบว่า มีประโยชน์สุขตลอดก็ยาวนาน ด้วยประการฉะนี้.
ก็การบูชานั้นเป็นอามิสบูชา จะป่วยกล่าวไปไยในปฏิบัติบูชา
เพราะกุลบุตรเหล่าใด บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการรับสรณคมน์และสิกขาบท
ด้วยการสมาทานองค์อุโบสถ และด้วยคุณทั้งหลายของตน มีปาริสุทธิศีล ๔ เป็นต้น
ใครเล่าจักพรรณนาผลแห่งการบูชาของกุลบุตรเหล่านั้นได้. ด้วยว่า
กุลบุตรเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า บูชาพระตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม
เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์ผู้ใดแลไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติตามธรรม
ผู้นั้นชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงนอบน้อมตถาคต
ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม.
ความที่การบูชาแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวกนำมา
ซึ่งประโยชน์สุข พึงทราบตามแนวนี้.
อนึ่ง สำหรับ คฤหัสถ์ พึงทราบปูชเนยยบุคคลในข้อนี้อย่างนี้ คือ
ผู้เจริญที่สุด ทั้งพี่ชาย ทั้งพี่สาว ชื่อว่าปูชเนยยบุคคลของน้อง มารดาบิดา
เป็นปูชเนยยบุคคลของบุตร สามีพ่อผัวแม่ผัวเป็นปูชเนยยบุคคลของกุลสตรี
ทั้งหลาย ด้วยว่า การบูชาปูชเนยยบุคคลแม้เหล่านั้น เป็นมงคลทั้งนั้น
เพราะนับว่าเป็นกุศลธรรม และเพราะเป็นเหตุเจริญอายุเป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำรัสไว้ดังนี้ว่า-
ชนเหล่านั้น จักเป็นผู้เกื้อกูลมารดา เกื้อกูลบิดา
เกื้อกูลสมณะ. เกื้อกูลพราหมณ์ เป็นผู้นอบน้อมผู้ใหญ่ในสกุล ยังจัก
ยึดถือกุศลธรรมนี้ปฏิบัติ ก็จักเจริญทั้งอายุ จักเจริญทั้งวรรณะ เพราะเหตุ
สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้นเป็นต้น.
บัดนี้ เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าตั้งมาติกาหัวข้อไว้ว่า กล่าวสมุฏฐานเป็นที่
เกิดมงคล แล้วกำหนดมงคลนั้น จะชี้แจงความของมงคลนั้น ฉะนั้น จึงขอ
ชี้แจงดังนี้ พระผู้พระภาคเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถานี้ไว้ ๓ มงคลคือ
การไม่คนพาล, การคบบัณฑิต, และการบูชาผู้ที่ควรบูชา,
ด้วยประการฉะนี้. ในมงคลทั้ง ๓ นั้น
พึงทราบว่าการไม่คบพาลชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่ง
ประโยชน์ของโลกทั้งสอง เหตุป้องกัน ภัยมีภัยเกิดแต่คบพาลเป็นปัจจัยเป็นต้น
การคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชา ชื่อว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่ง
นิพพานและสุคติ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในการพรรณนาความเพิ่มพูนแห่งผล
ของการคบบัณฑิตและการบูชาผู้ที่ควรบูชานั้นนั่นแล. แต่ข้าพเจ้าจักยังไม่
แสดงหัวข้อต่อจากนี้ไป จักกำหนดข้อที่เป็นมงคลอย่างนี้
จึงจักชี้แจงความที่ข้อนั้น เป็นมงคล.
จบพรรณนาความแห่งคาถานี้ว่า อเสวนา จ พาลานํ.
ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดแลไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือ อุบาสิกา
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ประพฤติตามธรรม
ผู้นั้นชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงนอบน้อมตถาคต
ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม.
----------------------------
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณผู้ร่วมเดินทางและทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ