[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 439
๖. มูคผักขจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของมูคผักขกุมาร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 439
๖. มูคผักขจริยา (๑)
ว่าด้วยจริยาวัตรของมูคผักขกุมาร
[๒๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่า มูคผักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง ในกาลนั้น พระสนมนางในหมื่นหกพัน ไม่มีพระราชโอรส โดยวันคืนล่วงไปๆ เราบังเกิดผู้เดียว พระบิดารับสั่งให้ตั้งเศวตรฉัตร ให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รักอันได้ด้วยยาก เป็นอภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอนในกาลนั้น เรานอนอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตรฉัตรอันเป็นเหตุให้เราไปสู่นรก ความสะดุ้งหวาดกลัวเกิดขึ้นแล้วแก่เรา พร้อมกับได้เห็นฉัตร เราถึงความวินิจฉัยว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องราชสมบัตินี้ได้ เทพธิดาผู้เป็นสายโลหิตของเรามา
๑. พม่า เป็น เตมิยจริยา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 440
ก่อน ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา นางเห็นเราผู้ประกอบด้วยทุกข์ จึงแนะนำให้เราประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง ชนทั้งหมดนั้นก็จะดูหมิ่นท่าน ประโยชน์จักมีแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อเทพธิดากล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนนางเทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกะเราฉันนั้น ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า แม่เทพธิดา ครั้นเราได้ฟังคำของเทพธิดานั้นแล้ว เหมือนดังได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริงดีใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้า ลิ้น และช่องหูของเราแล้ว เห็นความไม่บกพร่องของเรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 441
ติเตียนว่าเป็นคนกาลกรรณี ทีนั้นชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวงร่วมใจกันทั้งหมด พลอยดีใจการที่รับสั่งให้นำไปทิ้ง เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริงดีใจว่า เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสำเร็จแก่เรา ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ ให้ทำประทักษิณพระนคร ดำรงเศวตรฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์ขึ้นนายสารถีอุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่งปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียในแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราก็ไม่ทำลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 442
เกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการนั้น เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ผู้เสมอด้วยอธิษฐานของเราไม่มี นี้เป็นอธิษฐานบารมีของเราฉะนี้แล.
จบ มูคผักขจริยาที่ ๖
อรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
บทว่า กาสิราชสฺส อตฺรโช คือในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี. ในกาลนั้นชื่อว่า มูคผักขะ. ชนทั้งหลายเรียกเราว่า เตมิยะ. ควรเชื่อมความว่า ชนทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่พระมารดาพระบิดาเป็นต้นเรียกเราว่า มูคผักขะ เพราะอธิษฐานเป็นคนใบ้และเป็นคนง่อยเปลี้ย. อนึ่ง เพราะพระมหาสัตว์นั้นยังหทัยของพระราชาและของอำมาตย์เป็นต้นให้ชุ่ม อันเกิดด้วยปีติและสิเนหาอย่างยิ่ง. ฉะนั้น จึงได้พระนามว่า เตมิยกุมาร.
บทว่า โสฬสิตถีสหสฺสานํ คือ สนมของพระเจ้ากาสี ๑๖,๐๐๐.
บทว่า น วิชฺชติ ปุโม คือ ไม่มีพระโอรส มิใช่ไม่มีพระโอรสอย่างเดียวเท่านั้น แม้พระธิดาของพระองค์ก็ไม่มี.
บทว่า อโหรตฺตานํ อจฺจเยน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 443
นิพฺพตฺโต อหเมกโก ความว่า พระศาสดาทรงแสดงว่า โดยวันคืนล่วงไปๆ เราเกิดผู้เดียว คือ โดยวันคืนน้อมล่วงไปไม่น้อยเพราะล่วงไปหลายปี เราผู้เดียวเท่านั้นที่ท้าวสักกะประทานให้แด่พระราชาพระองค์นั้นผู้ไม่มีโอรส เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลนั้นได้เกิดเป็นโอรสของพระราชา.
ในจริยานั้นมีเรื่องราวเป็นลำดับดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้ากาสีครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระองค์มีสนม ๑๖,๐๐๐ นาง. ในสนมเหล่านั้นไม่ได้บุตรหรือธิดาแม้แต่คนเดียว. ชาวพระนครเกิดเดือดร้อนว่า พระโอรสแม้องค์เดียวที่จะรักษาราชวงศ์ของพวกเราไม่มีเลย จึงประชุมกัน ทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงปรารถนาพระโอรสเถิด พระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับสั่งกะสนม ๑๖,๐๐๐ นางว่า พวกเจ้าจงปรารถนาบุตรเถิด. พวกสนมเหล่านั้นทำการบวงสรวงพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็ไม่ได้บุตร. ฝ่ายพระจันทาเทวี พระธิดาของพระเจ้ามัททราช อัครมเหสีของพระราชานั้น พระนางสมบูรณ์ด้วยศีล. พระราชาตรัสว่า แม้เธอก็จงปรารถนาโอรสเถิด. ในวันเพ็ญพระนางรักษาอุโบสถระลึกถึงศีลของตน ทรงตั้งสัจจกิริยาว่า หากเรามีศีลไม่ขาด ด้วยสัจจะของเรานี้ขอให้โอรสเกิดเถิด. ด้วยเดชแห่งศีลของนางนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงรำพึงก็ทรงทราบเหตุนั้น จึงดำริว่า เราจักอนุเคราะห์นางจันทาเทวีให้ได้โอรส ทรงใคร่ครวญถึงโอรสผู้สมควรแก่พระเทวีนั้น ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ผู้ประสงค์จะอุบัติในดาวดึงสพิภพ ดำรงอยู่บนดาวดึงส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 444
พิภพนั้นตราบเท่าอายุแล้วจุติจากนั้นไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้นไป จึงเสด็จเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ดูก่อนสหาย เมื่อท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีเหล่านั้นจักบริบูรณ์ ความเจริญจักมีแก่มหาชน พระนางจันทาอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีทรงปรารถนาพระโอรส ขอให้ท่านจงไปอุบัติในพระครรภ์ของพระนางนั้นเถิด. พระโพธิสัตว์รับเทวดำรัส แล้วจึงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีนั้น. เทพบุตร ๕๐๐ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นสิ้นอายุ จุติจากเทวโลกถือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาอำมาตย์ทั้งหลายของพระราชานั้น. พระเทวีทรงทราบว่า พระนางตั้งครรภ์แล้ว จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้ดูแลพระครรภ์. พระเทวีทรงครรภ์ครบกำหนด จึงประสูติพระราชบุตรสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะทุกประการ. ในวันนั้นเองในเรือนของพวกอำมาตย์ทั้งหลาย กุมาร ๕๐๐ ก็เกิด. พระราชาทรงสดับแม้ทั้งสองประการ ทรงดำริว่า กุมารเหล่านี้จงเป็นบริวารโอรสของเรา จึงทรงส่งแม่นม ๕๐๐ และส่งเครื่องประดับของกุมารให้แก่กุมาร ๕๐๐. อนึ่ง พระราชาทรงให้แม่นม ๖๔ คน ผู้มีน้ำนมอร่อย มีถันไม่หย่อนยาน เว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น แล้วทรงทำสักการะใหญ่แก่พระโพธิสัตว์ ได้ทรงประทานพรแม้แก่พระนางจันทาเทวี. พระนางจันทาเทวีทรงรับพรไว้แล้ว. พระกุมารทรงเจริญด้วยบริวารใหญ่. ลำดับนั้น พวกแม่นมตกแต่งพระกุมาร ซึ่งมีพระชนม์ได้ ๑ เดือน นำมาเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงแลดูพระโอรสน่ารัก จึงทรงสวมกอด ให้
ระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 445
พระกุมารประทับนั่งบนพระเพลา ประทับนั่งทรงรื่นรมย์กับพระโอรส. ในขณะนั้นโจร ๔ คน ถูกนำมาให้ทรงพิพากษาโทษ. ในโจร ๔ คนนั้น คนหนึ่ง พระราชาทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนาม ๑,๐๐๐ ครั้ง. คนหนึ่ง ใส่ตรวนส่งเข้าเรือนจำ. คนหนึ่ง ให้เอาหอกทิ่มแทงบนร่างกาย. คนหนึ่ง เสียบด้วยหลาว. พระมหาสัตว์สดับคำพิพากษาของพระบิดาก็เกิดสลดใจ ทรงดำริว่า โอน่าเศร้า พระบิดาของเราอาศัยความเป็นพระราชากระทำกรรมอันจะนำไปสู่นรก เป็นกรรมหนัก. รุ่งขึ้นพวกแม่นมให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ภายใต้เศวตรฉัตร.
พระมหาสัตว์บรรทมหลับไปได้หน่อยหนึ่ง ทรงลืมพระเนตรแลดูเศวตรฉัตร ทรงเห็นสิริสมบัติใหญ่โต. ทีนั้นพระมหาสัตว์ แม้ตามปกติก็ทรงสลดพระทัยอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความกลัวหนักขึ้น. พระมหาสัตว์ทรงรำพึงอยู่ว่า เรามาสู่พระราชวังนี้จากไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่ามาจากเทวโลก ด้วยทรงระลึกชาติได้ จึงทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้น ทรงเห็นว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก. ทรงตรวจดูเหนือไปจากนั้นอีกทรงเห็นความที่พระองค์เป็นพระราชาอยู่ในนครนั่นเอง. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บรรทมดำริว่า เราครองราชสมบัติอยู่ ๒๐๐ ปี หมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ๘๐,๐๐๐ ปี. บัดนี้ เราเกิดในเรือนโจรนี้เอง. แม้พระบิดาของเรา เมื่อวานนี้ เมื่อเขานำโจรมา ๔ คน ก็ตรัสพระดำรัสรุนแรงถึงป่านนั้น อันจะทำให้ตกนรก. เราไม่ต้องการราชสมบัติ อันจะนำความพินาศอย่างใหญ่หลวง ซึ่งยังไม่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 446
ปรากฏนี้มา. เราจะพึงพ้นไปจากเรือนโจรนี้ได้อย่างไรหนอ. ลำดับนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งได้ปลอบพระโพธิสัตว์นั้นว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่ากลัว. ความปลอดภัยจักมีแก่ท่านเพราะอธิษฐานองค์ ๓. พระมหาสัตว์สดับดังนั้น มีพระประสงค์จะพ้นจากความพินาศ คือราชสมบัติ จึงทรงอธิษฐานองค์ ๓ ตลอด ๑๖ ปี ด้วยความอธิษฐานไม่หวั่นไหว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
กิจฺฉาลทฺธํ ปิยํปุตฺตํ ฯลฯ ผกฺโข คติวิวชฺชิโต
คำแปลปรากฏแล้วในบาลีแปลข้างต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กิจฺฉาลทฺธํ คือได้ด้วยความปรารถนามาตลอดกาลช้านาน ยาก ฝืดเคือง.
บทว่า อภิชาตํ คือสมบูรณ์ด้วยชาติ. ชื่อว่า ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง เพราะประกอบด้วยความรุ่งเรืองทางกายและความรุ่งเรืองด้วยญาณ.
บทว่า เสตจฺฉตฺตํ ธารยิตฺวาน, สยเน โปเสติ มํ ปิตา พระบิดารับสั่งให้กั้นเศวตรฉัตร ให้เลี้ยงดูเราบนที่นอน ความว่า พระเจ้ากาสี พระบิดาของเรา ให้เรานอนบนที่สิริไสยาสน์ภายใต้เศวตรฉัตร ตั้งแต่เราเกิดให้เลี้ยงดูเรากับด้วยบริวารใหญ่ โดยพระดำรัสว่า ธุลีหรือน้ำค้าง จงอย่าต้องกุมารนั้น. เรานอนอยู่บนที่นอนอันประเสริฐ ตื่นขึ้นแล้วมองดูได้เห็นเศวตรฉัตรสีขาว.
บทว่า เยนาหํ นิรยํ คโต ความว่า อันเป็นเหตุให้เราไปสู่นรกในอัตภาพที่ ๓ จากอัตภาพนี้ด้วยเศวตรฉัตร. ท่านกล่าวถึงราชสมบัติด้วยหัวข้อว่า เศวตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 447
ฉัตร.
บทว่า สห ทิฏฺสฺส เม ฉตฺตํ คือความสะดุ้งกลัวเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้เห็นเศวตรฉัตรนั้น พร้อมกับความเห็นนั้น. อธิบายว่า ตลอดเวลาที่เห็นนั่นเอง.
บทว่า ตาโส อุปฺปชฺชิ เภรโว คือ เกิดความสะดุ้งน่ากลัว เพราะเป็นโทษที่ปรากฏชัดเจนแล้ว.
บทว่า วินิจฺฉยํ สมาปนฺโน, กถาหํ อิมํ มุญฺจิสฺสํ ความว่า เราตรึกตรองอย่างนี้ว่า เราจะปลดเปลื้องราชสมบัติอันเป็นกาลกรรณีได้อย่างไรหนอ.
บทว่า ปุพฺพาสาโลหิตา มยฺหํ ความว่า เทพธิดาผู้เป็นมารดาของเราในอัตภาพหนึ่ง สิงสถิตอยู่ในเศวตรฉัตรนั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์ แสวงหาประโยชน์แก่เรา.
บทว่า สา มํ ทิสฺวาน ทุกฺขิตํ, ตีสุ าเนสุ โยชยิ ความว่า เทพธิดานั้นเห็นเราประกอบด้วยทุกข์ เพราะทุกข์ใจอย่างนั้น จึงแนะนำให้เราประกอบในเหตุที่จะออกจากทุกข์ในราชสมบัติ ๓ ประการ คือ เป็นใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหนวก.
บทว่า ปณฺฑิจฺจยํ คือความเป็นบัณฑิต.
บทว่า มา วิภาวย คือท่านจงประกาศความเป็นบัณฑิต.
บทว่า พาลมโต คือให้เขารู้ว่าเป็นคนโง่.
บทว่า สพฺโพ คือ ชนภายในและชนภายนอกทั้งสิ้น.
บทว่า โอจินายตุ คือ คนทั้งปวงย่อมดูหมิ่นว่า พวกท่านจงนำคนกาลกรรณีนี้ออกไป.
บทว่า เอวํ ตว อตฺโถ ภวิสฺสติ ประโยชน์จักมีแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้ ความว่า เมื่อท่านถูกดูหมิ่นโดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนั้น ประโยชน์อันยังบารมีให้บริบูรณ์ด้วยการออกจากเรือนจักมีแก่ท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 448
บทว่า เตตํ วจนํ ความว่า ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่านที่กล่าวว่า ท่านจงอธิษฐานองค์ ๓ ดังนี้.
บทว่า อตฺถกามาสิ เม อมฺม คือ แม่เทพธิดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่ข้าพเจ้า.
บทว่า หิตกามา ท่านเป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูล เป็นคำกล่าวโดยปริยายของคำว่า อตฺถกามา นั้นนั่นเอง. หรือว่าพึงทราบว่า ความสุขในบทว่า อตฺโถ นี้.
บทว่า หิตํ คือบุญอันเป็นเหตุของความสุขนั้น.
บทว่า สาคเรว ถลํ ลภึ เหมือนเราได้พบฝั่งในสาคร ความว่า เราคิดว่า เราเกิดในเรือนโจร. ความพินาศใหญ่หลวงได้มีแก่เรา เราจมอยู่ในสาครคือความโศก ได้ฟังคำของเทพธิดานั้น เหมือนจมอยู่ในสาครได้เห็นฝั่ง คือที่พึ่งแล้ว. อธิบายว่า เราได้อุบายออกจากราชตระกูลแล้ว.
บทว่า ตโย องฺเค อธิฏฺหึ คือ เราได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ จนกว่าเราจะออกไปจากเรือน.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงองค์ ๓ ประการเหล่านั้นโดยสรุป จึงตรัสพระคาถาว่า มูโค อโหสึ เราเป็นใบ้ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ผกฺโข คือ เป็นง่อยเปลี้ย. บทที่เหลือเข้าใจง่ายดีแล้ว.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงตั้งอยู่ในนัยที่เทพธิดาให้ไว้ แล้วทรงแสดงพระองค์ด้วยความเป็นใบ้เป็นต้น ตั้งแต่ปีที่ประสูติ พระมารดาพระบิดาและพวกนางนมเป็นต้น คิดว่า ธรรมดาปลายคางของคนใบ้ ช่องหูของคนหนวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 449
มือเท้าของคนง่อยเปลี้ยมิได้เป็นอย่างนี้. ในเรื่องนี้พึงมีเหตุ. เราจักทดลองพระกุมารนี้ดู. คิดว่า เราจักทดลองด้วยน้ำนมก่อน จึงไม่ให้น้ำนมตลอดวัน. พระกุมารนั้นแม้ซูบซีดก็มิได้ร้องเพื่อต้องการน้ำนม.
ลำดับนั้น พระมารดาของพระกุมารทรงดำริว่า ลูกของเราคงหิว. พวกเจ้าจงให้น้ำนมแก่ลูกเราเถิด แล้วให้พวกแม่นมให้น้ำนม. พวกแม่นมไม่ให้น้ำนมเป็นระยะๆ อย่างนี้ แม้ทดลองอยู่ปีหนึ่งก็ยังไม่เห็นช่องทาง. แต่นั้นพวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมชอบขนมและของเคี้ยว. ชอบผลาผล. ชอบของเล่น. ชอบอาหาร จึงนำของปลอบใจเหล่านั้นๆ เข้าไปให้ ปลอบใจด้วยการทดลองก็ไม่เห็นช่องทางตลอด ๕ ปี. ลำดับนั้น พวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมกลัวไฟ กลัวช้างตกมัน กลัวงู กลัวคนเงื้อดาบ. เราจักทดลองด้วยเหตุเหล่านั้น จึงตระเตรียมดังกล่าว โดยที่มิให้เกิดความเสียหายแก่พระกุมารด้วยอาการเหล่านั้นได้ แล้วให้เข้าไปแสดงโดยอาการอันน่ากลัวอย่างยิ่ง.
พระมหาสัตว์ทรงรำพึงถึงภัยในนรก จึงไม่หวั่นไหวด้วยทรงเห็นว่า นรกน่ากลัวยิ่งกว่านี้ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. พวกแม่นมทดลองอยู่แม้อย่างนี้ก็ไม่เห็นช่องทาง จึงคิดว่า ธรรมดาเด็กต้องการดูมหรสพ จึงให้สร้างโรงมหรสพ เอาม่านกั้นพระมหาสัตว์ แล้วให้ประโคมด้วยเสียงสังข์และเสียงกลอง ให้กึกก้องเป็นอันเดียวกันในทันที ณ ข้างทั้ง ๒ ของพระกุมาร ผู้ไม่รู้เรื่องเลย จุดตะเกียงส่องในที่มืด ให้แสงสว่าง เอาน้ำอ้อยทาทั่วตัว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 450
ให้นอนในที่มีแมลงวันชุม ไม่ให้อาบน้ำเป็นต้น เข้าไปคอยดูกุมารนอนบนอุจจาระ ปัสสาวะ เสียดสีด้วยการเยาะเย้ย และด่าว่ากุมารซึ่งนอนจมมูตรและกรีส. ทำกระเบื้องไฟไว้ใต้เตียง แล้วเผาให้ร้อนบ้าง. แม้ทดลองอยู่ด้วยอุบายหลายๆ อย่าง อย่างนี้ก็ไม่เห็นช่องทางของพระกุมารนั้น.
พระมหาสัตว์ทรงรำพึงถึงภัยในนรกเท่านั้น ในที่ทั้งปวง ไม่ทรงทำลายการตั้งใจ ไม่ไหวติง. พวกแม่นมทดลองอย่างนี้ถึง ๑๕ ปี ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษา พวกแม่นมคิดว่า คนง่อยเปลี้ยก็ตาม คนใบ้ คนหนวกก็ตาม จะไม่กำหนัดในสิ่งควรกำหนัด จะไม่อยากเห็นในสิ่งควรเห็น ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นเราจะหานาฏศิลป์มาทดลองพระกุมาร จึงเอาน้ำหอมอาบพระกุมาร ประดับประดาดุจเทพบุตรเชิญขึ้นบนปราสาท อันมีแต่ความบรรเทิงเบิกบานอย่างเดียว ด้วยดอกไม้ของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น เหมือนเทพวิมาน จึงให้สตรีล้วนมีรูปร่างงดงาม พราวด้วยเสน่ห์ เปรียบด้วยเทพอัปสรคอยบำเรอว่า พวกเจ้าจงให้พระกุมารอภิรมย์ด้วยความเป็นของเที่ยงเป็นต้น. สตรีเหล่านั้นต่างก็พยายามเพื่อจะเข้าไปทำตามนั้น. พระกุมาร เพราะพระองค์สมบูรณ์ด้วยพระปัญญา จึงทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะด้วยทรงหวังว่า สตรีเหล่านี้อย่าได้สัมผัสร่างกายของเราเลย. สตรีเหล่านั้นเมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของพระกุมาร จึงคิดว่า พระกุมารนี้มีพระวรกายกระด้าง. คงไม่ใช่มนุษย์แน่. คงจักเป็นยักษ์ จึงพากันกลับไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 451
พระมารดาพระบิดาไม่ทรงสามารถที่จะยึดถือได้ด้วยการทดลองใหญ่ ๑๖ ครั้ง และด้วยการทดลองเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งตลอด ๑๖ ปีอย่างนี้ จึงทรงขอร้องต่างๆ กันและหลายครั้งว่า เตมิยกุมารลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่าลูกไม่เป็นใบ้. เพราะปาก หู และเท้าอย่างนี้มิใช่ของคนใบ้ คนหนวก และคนง่อยเปลี้ยเลย. ลูกเป็นบุตรที่พ่อและแม่ปรารถนาจะได้มา. ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย. จงปลดเปลื้องข้อครหาจากราชสำนักในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด. พระกุมารนั้นแม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทำเป็นไม่ได้ยิน.
ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระชิวหา และพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคำที่อำมาตย์กราบทูลว่า บัดนี้ ผู้ชำนาญการทายลักษณะกล่าวว่า ผิว่า พระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ก็จะไม่เป็นง่อยเปลี้ย ใบ้และหนวกจริง. เห็นจะเป็นกาลกรรณี. เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คือ อันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตรฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑. แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้พระองค์ทรงเสียพระทัย จึงกล่าวว่า กุมารนี้มีบุญลักษณะครบถ้วน ทรงกลัวภัยอันตราย จึงมีพระบัญชาว่า พวกท่านจงไป ให้กุมารนั้นบรรทมในรถอวมงคล นำออกทางประตูหลังแล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 452
ปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านานจักถึงความสำเร็จ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้นเสนาบดีเป็นต้น ตรวจมือ เท้า ลิ้น แลช่องหูของเรา แล้วเห็นความไม่บกพร่องของเรา ติเตียนว่า เราเป็นคนกาลกรรณี ทีนั้นชาวชนบท เสนาบดีและปุโรหิตทั้งปวง ร่วมใจกันทั้งทมด พลอยดีใจในการรับสั่งให้นำไปทิ้ง. เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดี เป็นต้น นั้นแล้ว ร่าเริงดีใจ เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสำเร็จแก่เรา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มทฺทิย คือตรวจด้วยการลูบคลำ.
บทว่า อนูนตํ คือมือเป็นต้นไม่บกพร่อง.
บทว่า นินฺทิสุํ คือติเตียนว่า แม้มีอวัยวะไม่บกพร่องอย่างนี้ แต่เฉยเมยดุจคนใบ้เป็นต้น ก็ไม่ควรครองราชสมบัติ. พระกุมารนี้เป็นคนกาลกรรณี.
บทว่า ฉฑฺฑนํ อนุโมทิสุํ ความว่า ชาวชนบททั้งปวง พวกราชบุรุษมีเสนาบดีและปุโรหิตเป็นหัวหน้ามาเพื่อเฝ้าพระราชา ร่วมใจกันทั้งหมด ไม่แสดงอาการสยิ้วหน้า ที่พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 453
รับสั่งให้นำเราไปทิ้งด้วยการฝังลงในแผ่นดิน เพื่อผ่านพ้นอันตราย ต่างพลอยดีใจด้วยมีสีหน้าเบิกบานว่า ดีแล้ว ควรทำทีเดียว.
บทว่า โส เม อตฺโถ สมิชฺฌถ ความว่า เราประพฤติสะสมความประพฤติ ความประพฤติที่ทำได้ยากด้วยอธิษฐานความเป็นใบ้เป็นต้น เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสำเร็จแก่เรา. พึงทราบความสัมพันธ์ด้วยคำที่เหลือว่า เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเหล่านั้น มีพระมารดาพระบิดาเป็นต้น ของเรา แล้วร่าเริงด้วยความสำเร็จความประสงค์ของเรา ดีใจด้วยการไม่ไตร่ตรอง แล้วอนุญาตให้ฝังลงในแผ่นดิน.
เมื่อพระราชามีพระบัญชาให้ฝังพระกุมารลงในแผ่นดินอย่างนี้แล้ว พระนางจันทาเทวีทรงสดับเรื่องราวนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงประทานพรให้แก่หม่อมฉัน. หม่อมฉันยังยึดถือพรนั้นไว้. บัดนี้ ขอพระองค์โปรดประทานพรนั้นแก่หม่อมฉันเถิด. พระราชาตรัสว่า จงรับพรเถิด. พระเทวีทูลว่า ขอพระองค์ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรสของหม่อมฉันเถิด. ตรัสว่า โอรสของเจ้าเป็นกาลกรรณี. เราไม่อาจให้ได้ดอก. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอโปรดให้ ๗ ปีเถิด. ตรัสว่า ก็ไม่อาจให้ได้อีก. ทูลว่า ขอได้โปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน ๗ วันเถิด. ตรัสว่า ดีแล้วจงรับได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 454
พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้เป็นราชสมบัติของเตมิยกุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตรฉัตร ให้พระโอรสซึ่งทำประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้วบรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว ทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว เพราะอาศัยลูก ร้องจนนัยน์ตาแม่บวมแล้ว. หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก. แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น. ลูกอย่าทำให้แม่หมดที่พึ่งเลย. พระเทวีขอร้องโดยทำนองนี้ล่วงไป ๖ วัน. ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมา แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้เจ้าจงนำพระกุมารโดยรถอวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้ เรียบ แล้วจงกลับ. พระเทวีได้สดับดังนั้น ตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้. พรุ่งนี้ลูกก็จักถึงความตาย.
พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ดูก่อนเตมิยะ เจ้าทำความเพียรมา ๑๖ ปี จะถึงที่สุดแล้ว. แต่พระหทัยของพระมารดาพระโพธิสัตว์ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป. เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนำรถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปยังห้องสิริ ทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย. หม่อมฉันทำตามพระราชบัญชา แล้วผลักพระเทวีด้วยหลังมือ ซึ่งบรรทมกอดพระโอรสออก แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท. พระเทวีทรงทุบพระอุระ ทรงพระกันแสงร่ำไห้ด้วยพระสุรเสียงดัง ทรงล้มลงบนพื้นกว้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 455
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศกสุดกำลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดำริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปี ก็จะเป็นโมฆะ. แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเราและแก่พระมารดาพระบิดา. สารถีคิดว่า เราจักนำพระมหาสัตว์ขึ้นรถ แล้วจักแล่นรถไป มุ่งไปทางประตูทิศตะวันตก แต่กลับแล่นมุ่งไปทิศตะวันออก. รถออกจากพระนครด้วยอานุภาพของเทวดา แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์. พระมหาสัตว์ทรงยินดีเป็นที่ยิ่ง. แนวป่า ณ ที่นั้นได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ. สารถีคิดว่า ที่นี้ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทาง แล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระมหาสัตว์ออกห่อวางไว้ ถือเอาจอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ให้ทำประทักษิณพระนคร ดำรงเศวตรฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์ขึ้น สารถีอุ้มเราขึ้นรถเข้าป่า สารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง ปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียในแผ่นดิน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 456
ในบทเหล่านั้น บทว่า นหาเปตฺวา คือ ให้อาบน้ำด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ.
บทว่า อนุลิมฺปิตฺวา คือ ให้ลูบไล้ด้วยของหอม.
บทว่า เวเตฺวา ราชเวนํ คือ สวมราชมงกุฎที่พระเศียร อันเป็นไปตามประเพณีของพระเจ้ากาสีทั้งหลาย.
บทว่า อภิสิญฺจิตฺวา คือ อภิเษกโดยแบบแผนราชาภิเษกในราชตระกูลนั้น.
บทว่า ฉตฺเตน กาเรสุํ ปุรํ ปทกฺขิณํ คือ มีเศวตรฉัตรกั้นให้เราทำประทักษิณพระนคร.
บทว่า สตฺตาหํ ธารยิตฺวาน ความว่า ดำรงเศวตรฉัตรของเรา ที่พระนางจันทาเทวี พระมารดาของเราได้ด้วยพรอยู่ ๗ วัน.
บทว่า อุคฺคเต รวิมณฺฑเล ความว่า แต่นั้นในวันรุ่งขึ้น พอดวงอาทิตย์ขึ้น สุนันทสารถีก็นำเราออกจากพระนครด้วยรถที่ไม่เป็นมงคล เข้าไปยังป่าเพื่อฝังเราลงในพื้นดิน.
บทว่า สชฺชสฺสํ ความว่า นายสารถีหยุดรถของเราซึ่งเทียมม้าที่แอกไว้ในโอกาสหนึ่ง ด้วยหลีกออกจากทาง.
บทว่า หตฺถมุจฺจิโต คือพ้นจากมือ อธิบายว่า มีมือพ้นจากคันรถ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หตฺถมุจฺจิโต คือพ้นจากมือ อธิบายว่า ปล่อย.
บทว่า กาสุํ คือหลุม.
บทว่า นิขาตุํ คือเพื่อฝัง.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์อธิษฐาน ประพฤติสิ่งที่ทำได้ยากตลอด ๑๖ ปี ด้วยอธิษฐานเป็นใบ้เป็นต้น จึงตรัสสองคาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 457
พระราชาทรงคุมคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราไม่ทำลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิฐานองค์ ๓.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตชฺเชนฺโต วิวิธการณา คือ พระราชาทรงคุมคามด้วยเหตุต่างๆ ความว่า ทรงคุมคามด้วยเหตุหลายประการ มีห้ามน้ำนมเป็นต้น ตั้งแต่เรามีอายุได้ ๒ เดือน จนกระทั่งอายุ ๑๖ ปี คือ ให้ลำบากด้วยอาการกำจัดภัย. บทที่เหลือเข้าใจได้ง่ายแล้ว.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกำลังขุดหลุม คิดว่า นี้เป็นการพยายามของเรา จึงลุกขึ้น แล้วบีบพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่า เรามีกำลังอยู่ จึงทรงดำริจะเสด็จลงจากรถ. ทันใดนั้นเอง ที่วางพระบาทของพระมหาสัตว์ก็ผุดขึ้นดุจถุงหนังเต็มด้วยลมตั้งขึ้นจรดท้ายรถ. พระมหาสัตว์เสด็จลง ทรงดำเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า เรามีกำลังพอที่จะไปได้แม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้าย แล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสำหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทำร้าย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 458
เรา. เราก็มีกำลังพอที่จะป้องกันการทำร้ายได้ ทรงคิดที่จะตกแต่งพระองค์. ขณะนั้นเอง ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า ท่านจงไปตกแต่งพระโอรสของพระเจ้ากาสี. วิษณุกรรมรับเทวบัญชาแล้ว จึงตกแต่งพระมหาสัตว์นั้น ด้วยเครื่องอลังการอันเป็นของทิพย์และของมนุษย์ ดุจท้าวสักกะ. พระมหาสัตว์เสด็จไปยังสถานที่ที่สารถีกำลังขุดหลุม ด้วยเทพลีลาประทับยืนริมหลุมตรัสว่า :-
ดูก่อนสารถี ท่านรีบร้อนขุดหลุมไปทำไม ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ขอท่านจงบอกเราเถิดว่า ท่านจักทำอะไรแก่หลุม.
สารถีมิได้เงยหน้าดู กล่าวว่า :-
พระโอรสของพระราชาเป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย ไม่มีความรู้สึก. พระราชามีพระบัญชาให้เราฝังพระโอรสนั้นในป่า.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า :-
ดูก่อนสารถี เราไม่หนวก ไม่ใบ้ ไม่ง่อยเปลี้ย และไม่วิกล. หากท่านฝังเราในป่า. ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ดูก่อนสารถี ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 459
จงดูขาและแขนของเรา และจงฟังเราพูด. หากท่านฝังเราในป่า. ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
สารถีนั้นหยุดขุดหลุมแหงนดู เห็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ ไม่รู้ว่า เป็นมนุษย์หรือเทวดา จึงถามว่า :-
ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะจอมเทพ. ท่านเป็นใคร เป็นลูกของใคร. เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.
พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า :-
เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ที่ท่านจะฝังในหลุมนี้แหละ. ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้นเป็นอยู่. ดูก่อนสารถี หากท่านฝังเราในป่า. ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม. บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่มไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น. เพราะผู้ทำลายมิตรเป็นคนลามก. พระราชาเหมือนต้นไม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 460
เราเหมือนกิ่งไม้. ดูก่อนสารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา. หากท่านฝังเราในป่า. ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม.
แล้วสารถีก็ทูลวิงวอนเพื่อขอให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่กลับ และความพอใจในการบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของ พระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้ว มีภัยในนรกเป็นต้น เพราะเหตุแห่งความพอใจในการบรรพชานั้นโดยพิสดาร. แม้เมื่อสารถีนั้นประสงค์จะบวช เพราะธรรมกถานั้น และเพราะการปฏิบัตินั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า :-
ดูก่อนสารถี ท่านจงนำรถกลับไป แล้วเป็นคนไม่มีหนี้กลับมา. เพราะบรรพชาเป็นของคนไม่มีหนี้. ข้อนี้ฤาษีทั้งหลายสรรเสริญแล้ว.
แล้วก็ทรงส่งสารถีกลับไปแจ้งแด่พระราชา.
สารถีนำรถและเครื่องอาภรณ์ไปเฝ้าพระราชา ทูลความนั้นให้ทรงทราบ ในทันใดนั้นเอง พระราชาทรงดำริว่า เราจักไปหาพระมหาสัตว์ จึงเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยจตุรงคเสนา นางสนมและชาวพระนคร ชาวชนบท. แม้พระมหาสัตว์ ครั้นทรงส่งสารถีกลับไปแล้ว ก็มีพระประสงค์จะทรงผนวช. ท้าวสักกะทรงทราบจิตของพระโพธิสัตว์ จึงมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 461
เทวบัญชากะวิษณุกรรมว่า เตมิยบัณฑิตประสงค์จะทรงผนวช ท่านจงเนรมิตอาศรมบท และเครื่องบริขารของบรรพชิตให้แก่พระมหาสัตว์นั้น. วิษณุกรรมจึงไปเนรมิตอาศรมในราวป่าประมาณ ๓ โยชน์ ทำให้สมบูรณ์ด้วยที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน ที่จงกรม สระโบกขรณี ผลไม้ และต้นไม้ และเนรมิตเครื่องบริขารของบรรพชิตทั้งปวง เสร็จแล้วกลับที่อยู่ของตน. พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงทราบว่า ท้าวสักกะประทานให้ จึงเสด็จเข้าสู่บรรณศาลา เปลื้องผ้าออก ถือเพศเป็นดาบส นั่งบนเครื่องลาดทำด้วยไม้ ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด ประทับนั่งในอาศรมด้วยความสุขในการบรรพชา.
แม้พระเจ้ากาสีก็เสด็จไปตามทางที่สารถีได้ทูลไว้ แล้วเสด็จเข้าสู่อาศรม พระมหาสัตว์ทรงร่วมกันปฏิสันถาร แล้วทรงเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ. เตมิยบัณฑิตทรงปฏิเสธ แล้วทูลให้พระราชาเกิดสังเวชด้วยธรรมิกถาปฏิสังยุตด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น และปฏิสังยุตด้วยโทษของกาม อันเป็นของต่ำช้าด้วยอาการหลายอย่าง. พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงเบื่อหน่ายในการครองเรือน มีพระประสงค์จะทรงผนวช จึงตรัสถามพวกอำมาตย์และสนมทั้งหลาย. แม้ทั้งหมดก็ประสงค์จะบวช. ลำดับนั้น พระราชาทรงทราบว่า นางสนมกำนัลใน ๑๖,๐๐๐ คน ตั้งแต่พระนางจันทาเทวีเป็นต้น และพวกอำมาตย์เป็นต้น ประสงค์จะบวช จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า ผู้ใดประสงค์จะบวชในสำนัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 462
พระโอรสของเรา ผู้นั้นก็จงบวชเถิด ทรงให้เปิดห้องพระคลังทองเป็นต้น แล้วทรงบริจาค. อนึ่ง ชาวพระนครละทิ้งตลาดอันยาวเหยียดและปิดประตูเรือนไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงผนวชในสำนักของพระมหาสัตว์พร้อมด้วยมหาชน. อาศรมบทประมาณ ๓ โยชน์ ที่ท้าวสักกะประทานเต็มพอดี.
พระราชาสามนตราชทั้งหลายได้ทรงสดับว่า พระเจ้ากาสีทรงผนวช จึงดำริว่า จักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงเสด็จเข้าพระนคร ทรงเห็นพระนครเช่นกับเทพนคร และพระราชนิเวศน์เช่นกับเทพวิมาน เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงคิดว่า จะพึงมีภัยเพราะอาศัยทรัพย์นี้ เสด็จออกกลับไปในทันใดนั้นเอง. พระมหาสัตว์ทรงสดับการมาของพระราชาเหล่านั้น จึงเสด็จไปชายป่าประทับนั่ง ทรงแสดงธรรมอยู่บนอากาศ พระราชาเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมด้วยบริวารก็พากันบวชในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น. ด้วยประการฉะนี้ ได้เป็นมหาสมาคมอื่นๆ อีกมากมาย ฤาษีทั้งหมดบริโภคผลาผล แล้วบำเพ็ญสมณธรรม. ผู้ใดวิตกถึงกามวิตกเป็นต้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบจิตของผู้นั้น แล้วเสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับนั่งแสดงธรรมบนอากาศ.
พระราชานั้นทรงได้สัปปายะในการฟังธรรม จึงยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิด แม้ผู้อื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมดเมื่อสิ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 463
ชีวิตก็ไปบังเกิดในพรหมโลก. แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายที่มีใจเลื่อมใสในพระมหาสัตว์ แม้ในหมู่ฤาษีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นกามภูมิ ๖ ชั้น. พรหมจรรย์ของพระมหาสัตว์ยังเป็นไปอยู่ตลอดกาลยาวนาน.
เทพธิดาสิงสถิตอยู่ ณ เศวตรฉัตร ในครั้งนั้นได้เป็นนางอุบลวรรณาในครั้งนี้. สารถี คือ พระสารีบุตรเถระ. พระมารดาพระบิดา คือ ตระกูลมหาราช. บริษัททั้งหลาย คือพุทธบริษัท. เตมิยบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
อธิษฐานบารมีของพระมหาสัตว์นั้นถึงที่สุดในจริยานี้. แม้บารมีที่เหลือก็พึงเจาะจงกล่าวตามสมควร. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ ความกลัวนรกตั้งแต่ประสูติได้หนึ่งเดือน. ความกลัวบาป. ความรังเกียจราชสมบัติ. การอธิษฐานความเป็นใบ้เป็นต้น อันมีเนกขัมมะเป็นนิมิต และความไม่หวั่นไหวแม้ในการประชุมวิโรธิปัจจัย (ข้าศึก, ผู้ทำร้าย).
จบ อรรถกถามูคผักขจริยาที่ ๖
จบ อธิษฐานบารมี