เราที่เคลื่อนไปยังภพต่างๆ สั่งสมกรรม สร้างกรรมคืออะไร
เช่นพระพุทธเจ้า การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องสร้างกรรมไว้ ซึ่งกรรมนั้น สิ่งที่สั่งสมกรรม สิ่งที่เคลื่อนจากภพโน้นสู่ภพนี้คืออะไร
ตัวตนที่สั่งสมกรรม ทำให้เกิดความต่างของกรรมในแตกละตัวสัตว์บุคคลทั่วโลก คืออะไร ถ้าทุกอย่างไม่มีตัวตน แล้วสิ่งที่สั่งสมกรรมคืออะไร
ด้วยเหตุที่สงสัย ท่านผู้รู้โปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุททธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า สิงที่มีเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง และธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นั้น ไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในตำราเลย แต่มีจริงทุกขณะ แม้แต่ กรรม ก็เป็นธรรม ไม่พ้นจากธรรมเลย เพราะกรรม เป็นเจตนา เป็นความจงใจตั้งใจขวนขวายที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีทั้งกรรมดี (เช่น ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เป็นต้น) และกรรมชั่ว (เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น) เป็นเหตุที่จะทำให้ได้รับผลข้างหน้า
แม้แต่การที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้องสะสมกรรมดีคือการสะสมบารมีคุณความดีประการต่างๆ ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากพระสัมมาสัมพระเจ้าพระองค์ก่อนๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่ไปสร้างกรรม แต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย
ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น ก็ยังต้องท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั่นเอง ประโยชน์ที่ควรจะได้พิจารณาก็คือ เมื่อได้ศึกษาในเรื่องกรรมแล้ว ก็จะเป็นเครื่องเตือนที่ดีในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพราะในอดีตชาติเราก็เคยได้กระทำกรรมมาแล้ว ทั้งดี ทั้งไม่ดี โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ดี นั้นมีมาก เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำอะไรได้ แต่ในขณะนี้ เราสามารถสะสมในสิ่งที่ดีงามต่อไปได้ ด้วยความเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ประมาทในการสะสมความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการสะสมเหตุที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเห็นที่ถูกต้องตรงตามตามความเป็นจริงเมื่อมีความเข้าใจธรรมมากๆ ขึ้น ก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้มีความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจา และทางใจ ดีขึ้น ทำให้เป็นผู้ถอยกลับจากอกุศลไปตามลำดับ คล้อยไปตามปัญญาที่เจริญขึ้น ความดีที่ได้สะสมไว้นี้ ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ ความดี คือ กุศลกรรมทั้งหลาย ย่อมนำมาซึ่งผลที่ดี ไม่นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เลยแม้แต่น้อย
เราไม่สามารถรู้ได้ว่า กรรมใดจะให้ผลเมื่อใด ทางที่ดีที่สุด คือ พึงกระทำเฉพาะกรรมที่ดีงาม คือ กุศลกรรม เท่านั้นโดยที่ไม่ใช่ว่ามีตัวตนที่ไปทำ แต่เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นทำกิจ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีคืออกุศลกรรมทั้งหลายซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลอื่น ไม่ควรที่จะกระทำ เพราะเหตุว่า อกุศลกรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้านั้น ก็คือ ความดี เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่จะนำพาชีวิตไปสู่คุณความดีทั้งปวง ไม่นำพาไปในทางที่ผิดเลยแม้แต่น้อย
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
"ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า รูปร่างหน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ จนกระทั่งการได้ลาภการเสื่อมลาภ การได้ยศ การเสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ล้วนแต่เป็นผลซึ่งเกิดจากเหตุ คือ กรรมในอดีตที่แตกต่างกัน เพราะเหตุว่า เหตุในอดีตที่ต่างกัน ทำให้ผลในปัจจุบันต่างกัน ตั้งแต่เกิดจนกระ ทั่งสิ้นชีวิต และไม่ใช่เพียงการได้รับผลของกรรมในปัจจุบันเท่านั้นที่แตกต่างกัน แม้เหตุ คือ กรรมในปัจจุบัน ก็หลากหลายแตกต่างกัน ดีบ้าง ชั่วบ้างมากน้อยตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความวิจิตรของจิต เพราะการกระทำทุกอย่างที่ต่างกันนี้เอง จึงเป็นเหตุทำให้เกิดผลข้างหน้าแตกต่างกันออกไปด้วย ตามสมควรแก่กรรม"
... ยินดีในกุศลของคุณ teezaboo และทุกๆ ท่านด้วยรับ ...
ขอบพระคุณครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สัตว์ บุคคล ตัวตนไม่มี แต่มี จิต เจตสิก ที่สะสมกรรมดีและกรรมไม่ดี ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็สะสมอยู่ที่จิตไม่สูญหายไปไหน ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิไหนค่ะ
ยินดีในกุศลจิตครับ