ธรรมะจากพม่า
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จำนวน 107 ท่าน นำโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปทัศนศึกษาและสนทนาธรรมที่มัณฑะเลย์ – พุกาม – ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ตั้งแต่วันที่ 4 – 8 มีนาคม 2556 กลับมาแล้วค่ะ พร้อมกับของฝากเป็น ภาพถ่าย (ฝีมือคุณวันชัย ภู่งาม) และเรื่องเล่าตามเคย แม้ไม่ใช่รายงานสด (เพราะ free wifi ที่พม่า แม้จะมีก็ตาม แต่ก็หลุดบ่อยๆ มีก็ใช้ไม่ได้) แต่ก็ไม่แห้งเท่าไร ประมาณแดด เดียวค่ะ คงไม่จืดชืดเกินไป แม้สภาพธรรมที่เป็นอุปัตติ คือ เกิดพร้อมกันทันที อย่าง วิบากจิต ๑๐ ดวงนั้นจะดับไปนานแล้ว ไม่ใช่เห็นจะจะ หรือได้ยินกับหู แต่ก็ยังพอจำ เรื่องที่ติดข้องได้มากพอสมควร เป็นนิพพัตติ (สภาพธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิบากจิต ๑๐ ดวง นั้น) ก็ตาม (2 คำนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ก็ยังอยากเขียนถึง เพราะคิดว่าท่านผู้รู้คงจะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ขึ้น)
ไปพม่าคราวนี้ได้รับกุศลวิบากที่ดีหลายทาง คือ ได้รับประทานอร่อยๆ ทุกมื้อ ได้ พักโรงแรมระดับ 5 ดาว หลายแห่ง ที่สำคัญที่สุด คือ ได้ยินเสียงสนทนาธรรมตามกาล ด้วย เสียอย่างเดียวที่คุณเล็ก สุรภา ภวนานนท์ ผู้จัด ไม่สามารถปรับอุณหภูมิให้พอ เหมาะได้ จึงต้องทนความร้อนระอุ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ใครไปพม่าในช่วงนี้ก็ต้องพบ สภาพอากาศอย่างนี้ บางแห่งเมื่อถอดรองเท้าเดินบนพื้นปูนนั้น ร้อนจนต้องเดินปนวิ่ง กระย่องกระแย่งเหมือนกุ้งเป็นๆ ถูกย่าง (คงไม่ใช่ที่มาของชื่อย่างกุ้งหรอกนะ) ได้ชม สถานที่สำคัญของพม่า เป็นวัดและเจดีย์มากมาย แต่สำหรับเราสถานที่บางแห่งก็เป็น เพียงอารัมมณปัจจัย คือ อารมณ์ที่เป็นเพียงสิ่งที่จิตรู้เท่านั้น ยังไม่เป็นอารัมมณาธิปติ ปัจจัย คือ อารมณ์ที่น่าพอใจ น่าติดข้องอย่างยิ่งให้จดจำมาเล่าได้ (ประสาชาวบ้าน ธรรมดา ก็บอกว่า น่าประทับใจ) ไม่เหมือนเมื่อไปกราบนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่ อินเดีย ไปกี่ครั้งๆ ก็มีเรื่องเล่าได้ทุกวัน ทุกแห่ง
สถานที่แรกที่ไปเยี่ยมชม คือ พระราชวังมัณฑะเลย์ ที่จำลองจากพระราชวัง เดิมที่เป็นไม้สัก ประดับประดาด้วยทองคำแท้ มีทั้งหมด 114 ห้อง มีกำแพงกว้าง 3 เมตร สูง 8 เมตร ล้อมรอบพระราชวังซึ่งกว้าง 2.5 กม. ยาว 2.5 ก.ม. มีคูน้ำกว้างใหญ่ ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง แม้จะแข็งแรงและมั่นคงด้วยเครื่องป้องกันหลายชั้นอย่างนี้ แต่เมื่อ กรรมให้ผล ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษยิงปืนใหญ่มาจากเทือกเขามัณฑะเลย์ที่อยู่ ใกล้ๆ ทำให้ไฟไหม้พระราชวังทั้งหมด พระราชวังที่เห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่ของแท้ แต่ จำลองมาเหลือเพียง 98 ห้อง สีทองที่เห็นก็ไม่ใช่ทองคำแท้ แต่เป็นสีทองที่ทาทับไม้ และพระราชวังก็เป็นค่ายทหาร ให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย ในสมัยที่พวก ท่านปกครองอยู่ ก็คงคิดว่าจะอยู่ตลอดไป จึงได้สร้างใหญ่โตประดับประดาของของมี ค่ามากมาย ไกด์สาวชาวพม่า ชื่อ มะตู เล่าให้ฟังว่า เมื่ออังกฤษเข้ามายึดครอง ท่านผู้ ยิ่งใหญ่และมีสมบัติมากในขณะนั้นได้โยนของมีค่าลงในคูน้ำรอบๆ พระราชวังแห่งนี้มาก มาย (โลภะเกิด ทำให้อยากลงไปงมหา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า กุศลเป็นของเรา อกุศลไม่ใช่ ของเรา เพราะเมื่อกุศลให้ผล เพชรนิลจินดา ของมีค่าทั้งหลายก็เป็นของเรา พออกุศล ให้ผล สิ่งที่เคยเป็นของเราก็ต้องถูกเราเองโยนลงน้ำไป ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป)
ต่อจากนั้นเดินทางไปชมสะพานไม้อูเบ็ง สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ที่ใช้ไม้ สักถึง 1.208 ต้น มีอายุกว่า 200 ปี สะพานนี้ข้ามทะเลสาบคองตามัน เมื่อมาพม่าครั้ง ก่อนกับ มศพ. ในปี 2546 นั้น เพียงจอดรถดูสะพานไม้นี้เท่านั้น ไม่ได้ลงไปสัมผัสใกล้ ชิดเหมือนครั้งนี้ ได้ถ่ายภาพสะพานยามพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางบรรยากาศแบบ ชนบทของพม่าที่เป็นทุ่งนาและทะเลสาบที่มีเรือให้นักท่องเที่ยวพายเล่นด้วย ถ้าไม่ เห็นผู้คนมากมายทั้งคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวที่เดินกันเต็มสะพาน ก็ดูสงบเงียบ สวยงามดี
วันรุ่งขึ้น นั่งเรือ ๒ ชั้น ล่องแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสายสำคัญที่ยาวที่สุดของพม่า มี ความยาวกว่า 2,900 กม. จากเหนือจรดใต้ เพื่อไปชมเจดีย์มินกุง เจดีย์ที่สร้างเสร็จจะ ใหญ่ที่สุดในโลก (แปลว่า ยังสร้างไม่เสร็จ ที่เมื่อเสร็จแล้วไม่แน่ว่าจะใหญ่ที่สุดหรือไม่) เห็นแต่เพียงฐานสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ที่ทำจากอิฐมอญ (ของพม่าแท้) ที่มีรอยแตกร้าว จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่ก็ได้ชมระฆังที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ใหญ่ที่สุดในโลกแทน แต่ก็ไม่คุ้มกับสละการสนทนาธรรม เดินตากแดดฝ่าฝุ่นหนา ขึ้นเกวียนโขยกเขยกมาถึง เจดีย์มินกุง อย่างที่ท่านอาจารย์พูดเสมอๆ ว่า สะสมขยะทั้งนั้น เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏ แล้วก็ลืม (ลืมว่า เห็นเป็นธรรม เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช่เรา แต่จำว่าเห็นสิ่ง หนึ่งสิ่งใด) เพราะลืมจึงอยากเห็นอีกๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด เมื่อยังมีตาและมีโลภะ และ ต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน เมื่อยังไม่มีปัญญาเข้าใจสภาพธรรมะตามความ เป็นจริง
ในช่วงเช้า อากาศบนเรือเย็นสบาย ส่วนใหญ่จึงนั่งชมทิวทัศน์อยู่ชั้นบน ที่มี เก้าอี้หวายให้นั่งเอนนอน เห็นแม่น้ำอิรวดีกว้างใหญ่ น้ำใสสะอาดจนเป็นสีเขียว มีเรือ บรรทุกสินค้า แพลากซุง เป็นลำน้ำที่ใช้ในการเดินทางมากพอสมควร เห็นทิวเขาอยู่ ไกลๆ ถึงจะถามชื่อภูเขาจากไกด์ แต่จำอะไรไม่ได้ เพราะไม่รู้ความหมายของเสียงนั้น เลย เป็นแต่เสียงสูงๆ ต่ำๆ เท่านั้นเอง คงเหมือนเวลาฟังธรรมะเป็นภาษาบาลี ที่ไม่เข้า ใจความหมาย หรือเป็นภาษาไทยก็ตาม เข้าใจตามโดยพยัญชนะ แต่ไม่ถึงอรรถ เช่น แข็งเป็นแข็ง ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ฟังแล้วก็ลืมอย่างรวดเร็ว เพราะทวนกระแสความ เคยชินว่า แข็งต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
พอสายๆ แดดร้อน จึงลงไปนั่งชั้นล่าง ซึ่งท่านอาจารย์ได้เริ่มสนทนาธรรม เรา ก็ตามเคยคือไปดูสิ่งที่เขาอยากให้ดูให้ชมก่อน ส่วนการสนทนาธรรมทางมูลนิธิฯ คงจัด ทำแผ่นซีดีมาให้ได้ฟังแน่นอน แต่ก็ได้ร่วมฟังในตอนเรือแล่นกลับซึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง พิมพ์คำสนทนาลงใน Ipad ตั้งใจจะมาประกอบเรื่องเล่า แต่ปรากฏว่าถูกลบหายไป (โทษคนอื่นไม่ได้ คงตัวเองทำ) เลยแต่งเองตามที่จำได้ ท่านอาจารย์กล่าวว่า สภาพธรรมเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะสั้นๆ แล้วดับไป แต่เพราะเกิดดับสืบต่ออย่าง รวดเร็วจนปรากฏเป็นของสำเร็จรูป (นิมิต) ทำให้ติดข้องต้องการ เพราะไม่รู้ความจริง ขณะนี้กำลังล่องลอยอยู่ในอวิชชาและโลภะ เพราะคิดต่อไปว่า เดี๋ยวจะรับ ประทานอาหารกลางวันที่ไหน จะไปเที่ยวชมที่ไหนต่อ (หลายคนคิดว่ากำลังล่องลอย อยู่ในแม่น้ำอิรวดี สวยงามอย่างไร ลมพัดเย็นสบายแค่ไหน นั่นก็ล่องลอยอยู่ในอวิชชา และโลภะแล้ว โดยไม่รู้ตัวสักขณะเลย) ฯลฯ
หลังรับประทานอาหารกลางวันไปชมวัดกุโสดอ ซึ่งพระเจ้ามินดุง กษัตริย์พม่า ผู้ทรงอุปถัมภ์การซ่อมแซมพุทธคยาด้วย ได้ทรงให้จารึกพระไตรปิฎกบนแผ่นหิน 729 แผ่น ด้านหนึ่งเป็นภาษาพม่า อีกด้านหนึ่งเป็นภาษาบาลี และทำเจดีย์ครอบแผ่นหินนี้ ไว้ทั้งหมด
ทางพม่าคงเห็นว่า พระไตรปิฎกมั่นคงถาวรในแผ่นหินแล้ว จึงไม่เน้นการ ศึกษาให้ถูกต้องถึงแก่นคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงได้มีพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ที่เป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 1 ใน 5 ของพม่า ประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งชาวพม่าถือว่ายัง ทรงมีพระชนม์อยู่ (จากคำบอกเล่าของไกด์) ต้องทำพิธีล้างพระพักตร์และแปรงพระ ทนต์ในตอนตี 4 ของทุกวัน ได้ยินว่า ประเพณีนี้ได้ทำมา 200 กว่าปีแล้วโดยเจ้าอาวาส ของวัดนี้ และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นจุดขายให้นักท่องเที่ยวได้ร่วม ทำพิธีดังกล่าวด้วย
ที่วัดกุโสดอ เมื่อ 10 ปีก่อน ท่านอาจารย์ได้นำสนทนาธรรมที่ใต้ต้นพิกุลใหญ่ อายุ 100 กว่าปี ไปครั้งนี้มองไปเห็นต้นพิกุลต้นนั้นไม่สวยงามเหมือนเดิม ที่ยอดหักไป ทุกอย่างเหมือนกันหมด ไม่ว่าต้นไม้หรือคน ถ้ามีอายุมากขึ้น ผมก็ร่วงจนบางเห็นหนัง ศีรษะ มีตัวอย่างให้เห็นชัดเจนเมื่อมองกระจกและมองคนใกล้ตัว แต่ต้นไม้ยังดีที่ยัง สามารถให้ความร่มเย็นเช่นเดิม เพราะเห็นมีคนนุ่งขาวห่มขาวกลุ่มใหญ่นั่งทำพิธี อยู่ใต้ต้น (ไม่ทราบว่าเป็นคนชาติใดและพิธีอะไร) เป็นธรรมดาที่รูปก็ต้องเสื่อมไป ไม่ คงที่ เป็นสามัญลักษณะของทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนามก็ตามที่เมื่อเกิดขึ้น ตั้ง อยู่ เสื่อมไปและดับไปในที่สุด ไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยครับ
ได้ความรู้และได้เห็นภาพประเทศพม่าสวยงามค่ะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แล้วทุกอย่างก็ดับไปหมดไม่เหลือเลย เหลือเพียงความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณและอนุโมทนารายงาน..ธรรมะจากพม่า1..แบบแดดเดียวสำนวนพี่ kanchana.cซึ่งอ่านได้สาระ ได้อรรถรสดีคุ้มกับที่รออ่าน..คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พี่แดง เรียบเรียงได้อย่างไพเราะ อ่านดีมากค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วย ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ