บุคคลที่มีสัมผัสที่ 6 มักจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนใคร แล้วก็จะมีความรู้สึกว่าบุคคลที่เขา
คลุกคลี่ด้วยเป็นคนยังไงทั้งๆ ที่พึ่งได้พบกัน บุคคลเหล่านี้ทำบุญมาอย่างไร หรือว่า
เป็น กรรมลิขิตให้เขาต้องเป็นอย่างนี้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทางที่เป็นทางให้รับรู้อารมณ์ มี 6 ทาง คือ ทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ทางตา (จักขุปสาทรูป) เป็นทางให้มีการเห็น หู (โสตปสาท
รูป) เป็นทางให้มีการได้ยิน จมูก (ฆานปสาทรูป) เป็นทางให้ได้กลิ่น ลิ้น (ชิวหาปสาทรูป)
เป็นทางให้รู้รส ทางกาย (กายปสาทรูป) เป็นทางให้รู้กระทบสัมผัส เย็น ร้อน เป็นต้น
ประสาทสัมผัส จึงมี 5 ประการตามที่กล่าวมา ส่วนทางใจ ที่เป็นทางที่หก คือ รู้สภาพ
ธรรมทุกอย่าง ทั้ง สิ่งที่เห็น เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส และเรื่องราว ความคิดนึก
ก็รู้ได้ทางใจครับ ดังนั้น ประสาทสัมผัสทั้งหกตามที่เข้าใจกันทางโลก ตามที่ผู้ถาม
ถามมานั้น ในความเป็นจริง ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูป ซึ่งก็คือ
อาศัยจิตรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งประสาทสัมผัสที่หก ทางโลก คือ รู้เหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า
เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงในทางธรรม ก็คือ อาศัยทางใจ ทำให้มีการคิดนึก ตรึกไป
เป็นเรื่องราวที่คิดนึก ถึงสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรง แต่ที่สำคัญก็เป็นเพียงการ
คิดนึกเท่านั้นครับ ซึ่งบุคคลที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถูกบ้าง ก็อาจเป็นเพราะ
เทวดาดลใจประการหนึ่ง หรือ เคยเป็นผู้อบรมฌาน สมถภาวนามาในอดีตชาติก็สามารถ
ระลึกถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้บ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปครับ ส่วนการจะรู้จักนิสัยของบุคคลใด ก็ต้องอยู่ร่วมกันนานๆ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ และ
ใส่ใจถึงจะรู้ นอกเสียจากผู้มีปัญญาดังเช่นพระโพธิสัตว์ ย่อมรู้ลักษณะของบุคคลว่าคน
นั้นเป็นอย่างไรครับ
สำหรับผู้ที่มีประสาทสัมผัสที่หกที่แท้จริง คือ ผู้ที่อบรมปัญญา ได้ฌานในขณะนั้น ก็
สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องด้วยกำลังของปัญญา ระดับฌานครับ ซึ่ง
ก็ต้องอบรมเหตุให้ถูกต้อง ประสาทสัมผัสที่หก ก็จึงไม่พ้นจาก ทางใจที่เป็น จิต เจตสิก
ทีเกิดขึ้น ประสาทสัมผัสที่หก แต่การมีประสาทสัมผัสที่หก ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่
ประเสริฐ เพราะไม่เป็นไปเพื่อละทุกข์ สละ ละคลายกิเลสเลยครับ แต่ประสาทสัมผัส
ที่หกที่ประเสริฐ คือ การคิดนึกที่ประเสริฐ คือ ปัญญา ความเห็นถูกที่เกิดพร้อมกับจิต
ที่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าไม่ใช่เรา นี่เป็นประสาทสัมผัสด้วย
ปัญญา และเป็นไปเพื่อดับทุกข์แท้จริง ละกิเลสประการต่างๆ เพราะความเจริญขึ้นของ
ปัญญาครับ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ทุกขณะเป็นธรรม ทุกขณะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ทั้งจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน ทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ มี ๖ ทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย และทางใจ เมื่อจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายแล้ว ก็มีการคิดนึกต่อทางใจ หรือในบางครั้งบางขณะ แม้ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน เป็นต้น ก็คิดนึกได้ นี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และ จิตบางประเภทก็เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลยก็มี ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด อาศัยทวารหรือไม่ได้อาศัยทวาร ก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นก็จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามสมควรแก่ประเภทของจิต และเจตสิกที่ต้องเกิดร่วมกันกับจิตทุกขณะ มี ๗ ประเภท หนึ่งในนั้น คือ ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกที่กระทบกับอารมณ์ที่จิตรู้ ที่กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งทีกระทบสัมผัสทางกาย และ คิดนึก ทางใจ ล้วนเป็นธรรม ทั้งสิ้น ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคเลย
การที่คิดว่าว่าตนเองรู้อะไรล่วงหน้า ก็ไม่พ้นไปจากความคิด ซึ่งอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร ต่อให้รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น คนนั้นคนนี้จะมีชีวิตเป็นไปอย่างไร แต่ไม่มีปัญญาไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่ในขณะที่คิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ได้รู้สภาพธรรมใดๆ ตามความเป็นจริงเลย ย่อมไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้ ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความสำคัญตน และอกุศลธรรมประการต่างๆ ดังนั้น กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง สิ่งที่ควรรู้ ก็คือ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ