การอบรมปัญญาด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน และน้อมประพฤติปฏิบัติ ตามกำลังศรัทธา สติปัญญา เป็นหนทางที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้า คือปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้นความรู้ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่มีอุบายอย่างอื่น ถ้ามีอุบายที่เร็วกว่านี้ พระพุทธองค์คงต้องแสดงไว้แล้ว ฉะนั้น เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลส ย่อมมีการหลงลืมบ้าง มีสติบ้าง ดั่งพระอริยสาวกในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาติปัจจุบันนี้ได้ เพราะในชาติก่อนท่านสะสมอบรมเจริญปัญญาและบารมีอื่นๆ มาบริบูรณ์แล้ว แต่ตอนที่ท่านเป็นปุถุชนย่อมมีการหลงลืมเป็นธรรมดา
ปัญญาขั้นที่จะค่อยๆ ละกิเลส (วิปัสสนาภาวนา) นั้น ไม่ใช่จะเพิ่มขึ้นวูบวาบได้ทันทีทันใด แต่จะค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นทีละน้อย ความเข้าใจ (ปัญญา) ที่สะสมเพิ่มขึ้นนั้น ผู้อบรมเจริญปัญญาจะไม่ทราบว่าวันนี้เพิ่มขึ้นเท่าไรจากวันก่อน เหมือนด้ามมีดของนายช่างไม้ ซึ่งค่อยๆ สึกไปทีละน้อย ผู้ที่ใจร้อนอยากได้ผลเร็วๆ จึงไม่มั่นคงในคำสอนของพระผู้มีพระภาค มักจะไปทำอย่างอื่น ซึ่งก็หนีไม่พ้น มิจฉามรรค มิจฉาทิฏฐิ
การอยากให้ก้าวหน้าเร็วๆ ท่านกล่าวว่ายิ่งเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้าค่ะ...การเจริญสติปัฏฐานให้สม่ำเสมอ เป็นปรกติในชีวิตประจำวัน จะทำให้ ระลึกรู้สภาพธรรมได้ทุกขณะ ไม่ว่าหยาบหรือละเอียดอย่างไร ก็เป็นแค่สภาพธรรมเช่นกัน ...
ในซีดี "สู่แดนพุทธภูมิ ๓" (tract 10) ท่านอาจารย์กล่าวว่าถ้ายังพิจารณาอย่างละเอียดไม่ได้ เพราะสภาพธรรมบางอย่างเห็นได้ยาก ก็เอาอย่างหยาบๆ ไปก่อน เช่นการพิจารณาสัญญาเจตสิก.. ขณะที่เห็นจิตเห็นดับไปแล้วอย่างรวดเร็ว จิตคิดเกิดตามมา และรู้และจำได้ว่าสี่งที่เห็นเป็นอะไร นั่นก็แสดงว่า มีสัญญาเจตสิกเกิดขึ้นด้วยจริงๆ เพราะมีความจำได้......ส่วนเวทนาเจตสิกก็พิจารณาทำนองเดียวกัน เมื่อเห็นแล้วก็ต้องเกิดรัก ชอบ หรือชัง เป็นธรรมดา
การระลึกเช่นนี้เป็นปรกติ ในชิวิตประจำวัน ก็จะสะสมเป็นปัจจัย ให้เห็นสภาพธรรมละเอียด ตรง ถูกต้องยิ่งขึ้นค่ะ.......