[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 483
ยุคนัทธวรรค
๒. สัจจกถา
ว่าด้วยสัจจะ ๔ หน้า 496
อรรถกถาสัจจกถา
อรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ หน้า 497
อรรถกถาทุติยสุตตันตปาลิ หน้า 504
อรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ หน้า 508
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 483
ยุคนัทธวรรค สัจจกถา
นิทานในกถาบริบูรณ์
ว่าด้วยสัจจะ ๔
[๕๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัจจะ ๔ ประการนี้ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น ๔ ประการเป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัจจะว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็น ของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัจจะ ๔ ประการนี้แล เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น.
[๕๔๕] ทุกข์เป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างไร? สภาพแห่งทุกข์เป็นทุกข์ ๔ ประการ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น คือ สภาพที่บีบคั้นแห่งทุกข์ ๑ สภาพแห่งทุกข์ อันปัจจัย ปรุงแต่ง ๑ สภาพที่ให้เดือดร้อน ๑ สภาพที่แปรไป ๑ สภาพแห่งทุกข์เป็น ทุกข์ ๔ ประการนี้ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น ทุกข์เป็น สัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างนี้. สมุทัยเป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างไร?
สภาพแห่งสมุทัยเป็นเหตุเกิด ๔ ประการ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น คือ สภาพที่ประมวลมาแห่งสมุทัย ๑ สภาพที่เป็นเหตุ ๑ สภาพที่ประกอบไว้ ๑ สภาพพัวพัน ๑ สภาพแห่งสมุทัยเป็นเหตุเกิด ๔ ประการนี้ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น สมุทัยเป็นสัจจะ ด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 484
นิโรธเป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างไร?
สภาพดับแห่งนิโรธ ๔ ประการ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็น อย่างอื่น คือ สภาพสลัดออกแห่งนิโรธ ๑ สภาพสงัด ๑ สภาพที่ปัจจัย ไม่ปรุงแต่ง ๑ สภาพเป็นอมตะ ๑ สภาพดับแห่งนิโรธ ประการนี้ เป็น ของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น นิโรธเป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็น ของแท้อย่างนี้.
มรรคเป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้อย่างไร?
สภาพเป็นทางแห่งมรรค ๔ ประการ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น คือ สภาพนำออกแห่งมรรค ๑ สภาพเป็นเหตุ ๑ สภาพที่ เห็น ๑ สภาพเป็นใหญ่ ๑ สภาพเป็นทางแห่งมรรค ๔ ประการนี้ เป็นของแท้ เป็นของไม่ผิด ไม่เป็นอย่างอื่น มรรคเป็นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็นของแท้ อย่างนี้.
[๕๔๖] สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการ ๔ คือ ด้วยความ เป็นของแท้ ๑ ด้วยความเป็นอนัตตา ๑ ด้วยความเป็นของจริง ๑ ด้วยความ เป็นปฏิเวธ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่งด้วยอาการ ๔ นี้ สัจจะใด ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่ง ด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้อย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้ด้วยอาการ ๔ คือ สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็นเหตุเกิดแห่ง สมุทัยเป็นสภาพแท้ ๑ สภาพดับแห่งนิโรธเป็นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็นทางแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 485
มรรคเป็นสภาพแท้ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง ด้วยความเป็นของแท้ ด้วยอาการ ๔ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคล ย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการ แทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นอนัตตาอย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นอนัตตา ด้วย อาการ ๔ คือ สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ เป็นสภาพมิใช่ตัวตน ๔ สภาพเป็น เหตุเกิดแห่งสมุทัย เป็นสภาพมิใช่ตัวตน ๑ สภาพดับแห่งนิโรธ เป็นสภาพ มิใช่ตัวตน ๑ สภาพเป็นทางแห่งมรรค เป็นสภาพมิใช่ตัวตน ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง ด้วยความเป็นอนัตตา ด้วยอาการ ๔ นี้ สัจจะใด ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่ง ด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของจริงอย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของจริง ด้วย อาการ ๔ คือ สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ เป็นสภาพจริง ๑ สภาพเป็นเหตุ เกิดแห่งสมุทัย เป็นสภาพจริง ๑ สภาพดับแห่งนิโรธ เป็นสภาพจริง ๑ สภาพเป็นทางแห่งมรรค เป็นสภาพจริง ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง ด้วยความเป็นของจริง ด้วยอาการ ๔ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุ นั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นปฏิเวธอย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นปฏิเวธด้วย อาการ ๔ คือ สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ เป็นสภาพแทงตลอด ๑ สภาพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 486
เป็นเหตุเกิดแห่งสมุทัย เป็นสภาพแทงตลอด ๑ สภาพดับแห่งนิโรธ เป็น สภาพแทงตลอด ๑ สภาพเป็นทางแห่งมรรค เป็นสภาพแทงตลอด ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นปฏิเวธ ด้วยอาการ ๔ นี้ สัจจะใด ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่ง ด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
[๕๔๗] สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร?
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ๑ สิ่งใดไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา ๑ สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเป็นของแท้ ๑ สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาและเป็นของแท้ สิ่งนั้นเป็นของจริง ๑ สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นของแท้และเป็นของจริง สิ่งนั้น ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สิ่งใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สิ่งนั้นเป็นหนึ่ง บุคคล ย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการ แทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการ ๙ คือ ด้วยความ เป็นของแท้ ๑ ด้วยความเป็นอนัตตา ๑ ด้วยความเป็นของจริง ๑ ด้วยความ เป็นปฏิเวธ ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควร กำหนดรู้ ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควรละ ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควรเจริญ ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ๑ สัจจ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่งด้วย อาการ ๙ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อม แทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอด ด้วยญาณเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 487
[๕๔๘] สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้อย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้ ด้วย อาการ ๙ คือ สภาพทนได้ยากแห่งทุกข์ เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็นเหตุ เกิดแห่งสมุทัย เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพดับแห่งนิโรธ เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็นทางแห่งมรรค เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งอภิญญาเป็นสภาพที่ควร รู้ยิ่ง เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งปริญญาเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ เป็นสภาพ แท้ ๑ สภาพแห่งปหานะเป็นสภาพที่ควรละ เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่ง ภาวนาเป็นสภาพที่ควรเจริญ เป็นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งสัจฉิกิริยา เป็น สภาพที่ควรทำให้แจ้ง เป็นสภาพแท้ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง ด้วยความเป็นของแท้ ด้วยอาการ ๙ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะ นั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นอนัตตาด้วย ความเป็นของจริง ด้วยความเป็นปฏิเวธ อย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นปฏิเวธด้วยอาการ ๙ คือ สภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพที่ทนได้ยาก เป็นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งสมุทัยเป็นเหตุเกิด เป็นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งนิโรธ เป็นที่ดับ เป็นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งมรรคเป็นทางดำเนิน เป็น สภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งอภิญญาเป็นสภาพที่ควรรู้ยิ่ง เป็นสภาพควร แทงตลอด ๑ สภาพแห่งปริญญาเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ เป็นสภาพควร แทงตลอด ๑ สภาพแห่งปหานะเป็นสภาพที่ควรละ เป็นสภาพที่ควรแทงตลอด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 488
๑ สภาพแห่งภาวนาเป็นสภาพที่ควรเจริญ เป็นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพ แห่งสัจฉิกิริยาเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง เป็นสภาพควรแทงตลอด ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้วยความเป็นปฏิเวธ ด้วยอาการ ๙ นี้ สัจจะ ใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอด สัจจะ หนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
[๕๔๙] สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร?
สัจจะ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการ ๑๒ คือ ด้วยความ เป็นของแท้ ๑ ด้วยความเป็นอนัตตา ๑ ด้วยความเป็นของจริง ๑ ด้วยความ เป็นปฏิเวธ ๑ ด้วยความเป็นเครื่องรู้ยิ่ง ๑ ด้วยความเป็นเครื่องกำหนดรู้ ๑ ด้วยความเป็นธรรม ๑ ด้วยความเป็นเหมือนอย่างนั้น ๑ ด้วยความเป็นธรรม ที่รู้แล้ว ๑ ด้วยความเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ๑ ด้วยความเป็นเครื่องถูก ต้อง ๑ ด้วยความเป็นเครื่องตรัสรู้ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้วยอาการ ๑๒ อย่างนี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมี การแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้ อย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นของแท้ ด้วย อาการ ๑๖ คือ สภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพบีบคั้น ๑ เป็นสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่ง ๑ เป็นสภาพให้เดือดร้อน ๑ เป็นสภาพแปรปรวน ๑ เป็นสภาพแท้ สภาพแห่ง สมุทัยเป็นสภาพประมวลมา ๑ เป็นเหตุ ๑ เป็นเครื่องประกอบไว้ ๑ เป็น สภาพกังวล ๑ เป็นสภาพแท้ สภาพแห่งนิโรธเป็นที่สลัดออก ๑ เป็นสภาพสงัด ๑ เป็นสภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ๑ เป็นอมตะ ๑ เป็นสภาพแท้ สภาพแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 489
มรรคเป็นเครื่องนำออก ๑ เป็นเหตุ ๑ เป็นทัศนะ ๑ เป็นใหญ่ ๑ เป็นสภาพ แท้ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้วยความเป็นของแท้ ด้วย อาการ ๑๖ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อม แทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอด ด้วยญาณเดียว.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นอนัตตา ฯลฯ ด้วยความเป็นของจริง ด้วยความเป็นปฏิเวธ ด้วยความเป็นเครื่องรู้ยิ่ง ด้วย ความเป็นเครื่องกำหนดรู้ ด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเป็นเหมือนอย่างนั้น ด้วยความเป็นธรรมที่รู้แล้ว ด้วยความเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยความ เป็นเครื่องถูกต้อง ด้วยความเป็นเครื่องตรัสรู้ อย่างไร?
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็นเครื่องตรัสรู้ ด้วยอาการ ๑๖ คือ สภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพบีบคั้น ... เป็นสภาพแปรปรวน เป็นสภาพเครื่องตรัสรู้ สภาพแห่งสมุทัยเป็นสภาพประมวลมา ... เป็นสภาพ กังวล เป็นสภาพเครื่องตรัสรู้ สภาพแห่งนิโรธเป็นที่สลัดออก ... เป็นอมตะ เป็นสภาพเครื่องตรัสรู้ สภาพแห่งมรรคเป็นเครื่องนำออก ... เป็นใหญ่ เป็น สภาพเครื่องตรัสรู้ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้วยความเป็นเครื่อง ตรัสรู้ ด้วยอาการ ๑๖ นี้ สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สัจจะนั้นเป็นหนึ่ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว เพราะเหตุนั้น สัจจะ ๔ จึงมี การแทงตลอดด้วยญาณเดียว.
[๕๕๐] สัจจะมีลักษณะเท่าไร? สัจจะมีลักษณะ ๒ คือสังขตลักษณะ ๑ อสังขตลักษณะ ๑ สัจจะมีลักษณะ ๒ นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 490
สัจจะมีลักษณะเท่าไร? สัจจะมีลักษณะ ๖ คือ สัจจะที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีความเกิดปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ๑ สัจจะที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมไม่ปรากฏ ๑ เมื่อ ยังตั้งอยู่ความแปรไม่ปรากฏ ๑ สัจจะมีลักษณะ ๖ นี้.
สัจจะมีลักษณะเท่าไร สัจจะมีลักษณะ ๑๒ คือ ทุกขสัจ มีความเกิด ขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ๑ สมุทยสัจมี ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ๑ มรรคสัจมีความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อยังตั้งอยู่ความแปร ปรากฏ ๑ นิโรธสัจ ความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมไม่ปรากฏ ๑ เมื่อยัง ตั้งอยู่ความแปรไม่ปรากฏ ๑ สัจจะมีลักษณะ ๑๒ นี้.
[๕๕๑] สัจจะ ๔ เป็นกุศลเท่าไร เป็นอกุศลเท่าไร เป็นอัพยากฤต เท่าไร?
สมุทยสัจเป็นอกุศล มรรคสัจเป็นกุศล นิโรธสัจเป็นอัพยากฤต ทุกขสัจเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี สัจจะ ๓ นี้ท่านสงเคราะห์ ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๓ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย.
คำว่า พึงมี คือ ก็พึงมีอย่างไร?
ทุกขสัจเป็นอกุศล สมุทยสัจเป็นอกุศล สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วย สัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้วยความเป็นอกุศลพึงมีอย่าง นี้ ทุกขสัจเป็นกุศล มรรคสัจเป็นกุศล สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้วยความเป็นกุศล พึงมีอย่างนี้ ทุกข์- สัจเป็นอัพยากฤต นิโรธสัจเป็นอัพยากฤต สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 491
สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้วยความเป็นอัพยากฤต พึงมีอย่างนี้ สัจจะ ๓ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๓ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย.
[๕๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อเราเป็นโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดว่า อะไรหนอแลเป็นคุณ เป็นโทษ เป็นอุบาย เครื่องสลัดออก แห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า สุข โสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป ความจำกัดฉันทราคะ ความละฉันทราคะในรูป นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออก แห่งรูป ... สุขโสมนัส อาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งวิญญาณ ความกำจัดฉันทราคะ ความละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัด ออกแห่งวิญญาณ.
[๕๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ทั่วถึงซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ และซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกโดยเป็นอุบายเครื่อง สลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ นี้ ตามความเป็นจริง เพียงใด เราก็ยังไม่ ปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เมื่อใด เราได้รู้ทั่วถึงซึ่งคุณโดยความเป็น คุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ และซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกโดยเป็นอุบาย เครื่องสลัดออก แห่งอุปทานขันธ์ ๕ นี้ ตามความจริง เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณ ว่าได้ตรัสรู้ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็แล ญาณ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 492
ทัศนะเกิดขึ้นแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ ความเกิดอีกมิได้มี.
[๕๕๔] การแทงตลอดด้วยการละว่า สุข โสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป ดังนี้ เป็นสมุทยสัจ การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ว่ารูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งรูป ดังนี้ เป็นทุกขสัจ การแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งว่า การกำจัดฉันทราคะ การละ ฉันทราคะในรูป นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป ดังนี้ เป็นนิโรธสัจ การ แทงตลอดด้วยภาวนา คือ ทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ ในฐานะทั้ง ๓ นี้ เป็นมรรคสัจ การแทงตลอดด้วยการละว่า สุข โสมนัส อาศัยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่ง วิญญาณ ดังนี้ เป็นสมุทยสัจ การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ว่า วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งวิญญาณ ดังนี้ เป็นทุกขสัจ การแทงตลอดด้วยทำให้แจ้งว่า การกำจัดฉันทราคะ การ ละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ ดังนี้ เป็น นิโรจสัจ การแทงตลอดด้วยภาวนา คือ ทิฏฐิสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ ในฐานะทั้ง ๓ นี้ เป็นมรรคสัจ.
[๕๕๕] สัจจะด้วยอาการเท่าไร?
สัจจะด้วยอาการ ๓ คือ ด้วยความแสวงหา ๑ ด้วยความกำหนด ๑ ด้วยความแทงตลอด ๑.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างไร?
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า ชราและมรณะมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 493
สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ชราและมรณะมีชาติเป็นเหตุ มีชาติ เป็นสมุทัย มีชาติเป็นกำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด ญาณย่อมรู้ชัดซึ่งชราและมรณะ เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และข้อปฏิบัติเครื่อง ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า ชาติมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไรเป็น แดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ชาติมีภพเป็นเหตุ ... มีภพเป็น แดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งชาติ เหตุเกิดแห่งชาติ ความดับแห่งชาติ และข้อ ปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งชาติ สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า ภพมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไรเป็น แดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ภพมีอุปาทานเป็นเหตุ ... มี อุปาทานเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งภพ เหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพ และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งภพ สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า อุปาทานมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ ... มีตัณหาเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งอุปาทาน เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับ แห่งอุปาทาน และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน สัจจะด้วยความ แทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า ตัณหามีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ ... มีเวทนาเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งตัณหา เหตุเกิดแห่งตัณหา ความดับแห่ง ตัณหา และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งตัณหา สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 494
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า เวทนามีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ตัณหามีผัสสะเป็นเหตุ ... มีผัสสะเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับแห่ง เวทนา และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งเวทนา สัจจะด้วยความแทงตลอด อย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า ผัสสะมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า ผัสสะมีสฬายตนะเป็นเหตุ ... มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งผัสสะ เหตุเกิดแห่งผัสสะ ความดับ แห่งผัสสะ และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งผัสสะ สัจจะด้วยความ แทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า สฬายตนะมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า สฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ ... มีนามรูปเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งสฬายตนะ เหตุเกิดสฬายตนะ ความ ดับสฬายตนะ และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับสฬายตนะ สัจจะด้วยความ แทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า นามรูปมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า นามรูปมีวิญญาณเป็นเหตุ ... วิญญาณเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งนามรูป เหตุเกิดนามรูป ความดับนามรูป และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับนามรูป สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า วิญญาณมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า วิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ ...
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 495
มีสังขารเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งวิญญาณ เหตุเกิดวิญญาณ ความดับวิญญาณ และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับวิญญาณ สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้ ...
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า สังขารมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไร เป็นแดนเกิด? สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ ... มีอวิชชาเป็นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึ่งสังขาร เหตุเกิดสังขาร ความดับสังขาร และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับสังขาร สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้.
[๕๕๖] ชราและมรณะเป็นทุกขสัจ ชาติเป็นสมุทยสัจ ความสลัด ชรามรณะและชาติ แม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ ชาติเป็นทุกขสัจ ภพเป็นสมุทยสัจ การสลัดชาติและภพแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ อุปาทานเป็นทุกขสัจ ตัณหาเป็นสมุทยสัจ การสลัดอุปาทานและตัณหาแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็น มรรคสัจ ตัณหาเป็นทุกขสัจ เวทนาเป็นสมุทยสัจ การสลัดตัณหาและเวทนา แม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ เวทนาเป็นทุกขสัจ ผัสสะเป็นสมุทยสัจ การสลัดเวทนาและผัสสะแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จัก ความดับเป็นมรรคสัจ ผัสสะเป็นทุกขสัจ สฬายตนะเป็นสมุทยสัจ การสลัด ผัสสะและสฬายตนะแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ สฬายตนะเป็นทุกขสัจ นามรูปเป็นสมุทยสัจ การสลัดสฬายตนะและนามรูป แม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ นามรูปเป็นทุกขสัจ วิญญาณเป็นสมุทยสัจ การสลัดนามรูปและวิญญาณแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ วิญญาณเป็นทุกขสัจ สังขารเป็นสมุทยสัจ การ สลัดวิญญาณและสังขารแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ สังขารเป็นทุกขสัจ อวิชชาเป็นสมุทยสัจ การสลัดสังขารและอวิชชาแม้ทั้งสอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 496
เป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ ชรามรณะเป็นทุกขสัจ ชาติเป็น ทุกขสัจก็มี เป็นสมุทยสัจก็มี การสลัดชรามรณะและชาติแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ ชาติเป็นทุกขสัจ ภพเป็นทุกขสัจก็มี เป็น สมุทยสัจก็มี การสลัดชาติและภพแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับ เป็นมรรคสัจ ฯลฯ สังขารเป็นทุกขสัจ อวิชชาเป็นทุกขสัจก็มี เป็นสมุทยสัจ ก็มี การสลัดสังขารและอวิชชาแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็น มรรคสัจ ฉะนี้แล.
จบสัจจกถา
จบภาณวาร
อรรถกถาสัจกถา
บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับ ความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งสัจจกถา อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงความวิเศษของ การแทงตลอดสัจจะ อันตั้งอยู่บนความจริงด้วยสามารถแห่งอริยมรรคอันเป็น คุณของธรรมคู่กันตรัสไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นก่อน ดังต่อไปนี้. บทว่า ตถานิ คือ เป็นของแท้ด้วยความเป็นจริง จริงอยู่ ธรรมชาติทั้งหลายอันเป็นความ จริงนั่นแหละชื่อว่า สัจจะ ด้วยอรรถว่าเป็นจริง. อรรถแห่งสัจจะท่านกล่าวไว้ แล้วในอรรถกถาปฐมญาณนิเทศ. บทว่า อวิตถานิ เป็นของไม่ผิด คือ ปราศจากความตรงกันข้ามในสภาพที่กล่าวแล้ว เพราะสัจจะไม่มี ก็ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 497
ไม่มีสัจจะ. บทว่า อนญฺกานิ ไม่เป็นอย่างอื่น คือ เว้นจากสภาพอื่น เพราะไม่มีสัจจะหามิได้ ก็ชื่อว่า มีสัจจะ.
บทว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ ภิกฺขเว ตถเมตํ สัจจะว่านี้ทุกข์เป็นของ จริง คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่กล่าวว่า นี้ทุกข์ สิ่งนั้นชื่อว่า เป็น ของแท้ เพราะตามความเป็นจริง. จริงอยู่ ทุกข์นั่นแหละคือทุกข์ ชื่อว่า เป็นของไม่ผิด เพราะไม่มีสิ่งตรงกันข้ามในสภาวะดังกล่าวแล้ว เพราะทุกข์ ไม่มี ก็ชื่อว่า ไม่มีทุกข์ ชื่อว่าไม่เป็นอย่างอื่นเพราะปราศจากสภาพอื่น. จริงอยู่ ทุกข์ไม่มีสภาพเป็นสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ได้. แม้ในสมุทัยเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
อรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ
บทว่า ตถฏฺเน ด้วยอรรถเป็นของแท้ คือ ด้วยอรรถตามความ เป็นจริง. บทว่า ปีฬนฏโ สภาพบีบคั้นเป็นต้น มีความดังกล่าวแล้วใน ญาณกถานั่นแล.
บทว่า เอกปฺปฏิเวธานิ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียว คือ แทง ตลอดด้วยมรรคญาณเดียว หรือชื่อว่า เอกปฺปฏิเวธานิ เพราะมีการแทง ตลอดร่วมกัน. บทว่า อนตฺตฏฺเน ด้วยความเป็นอนัตตา คือ ด้วยความ เป็นอนัตตา เพราะความที่สัจจะแม้ ๒ ปราศจากตน. ดังที่ท่านกล่าวไว้ใน วิสุทธิมรรคว่า โดยปรมัตถ์ สัจจะทั้งหมดนั่นแหละ พึงทราบว่า ว่างเปล่า เพราะไม่มีผู้เสวย ผู้กระทำ ผู้ดับและผู้ไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 498
ความจริง ทุกข์เท่านั้นมีอยู่ ใครๆ เป็นทุกข์หามี ไม่การกระทำมีอยู่ ใครๆ ผู้ทำหามีไม่ ความดับมีอยู่ ใครๆ ผู้ดับหามีไม่ ทางมีอยู่ แต่คนผู้เดินทางหามีไม่. อีกอย่างหนึ่ง
ความว่างเปล่า จากความงามความสุขอันยั่งยืน และตัวตน ความว่างเปล่าจาก ๒ บท ข้างต้นและ ตัวตนเป็นอมตบท ในสัจจะเหล่านั้น ความว่างเปล่า เป็นมรรค ปราศจากความสุขยั่งยืนและตัวตน.
บทว่า สจฺจฏฺเน ด้วยความเป็นของจริง คือ ด้วยความไม่ผิดจาก ความจริง. บทว่า ปฏิเวธฏฺเน ด้วยความเป็นปฏิเวธ คือ ด้วยความพึง แทงตลอดในขณะแห่งมรรค. บทว่า เอกสงฺคหิตานิ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ เข้าเป็นหนึ่ง คือ สงเคราะห์ด้วยอรรถหนึ่งๆ ความว่า ถึงการนับว่าเป็นหนึ่ง. บทว่า ยํ เอกสงฺคหิตํ ตํ เอกตฺตํ สิ่งใดท่านสงเคราะห์เป็นหนึ่ง สิ่งนั้น เป็นหนึ่ง ความว่า เพราะท่านสงเคราะห์ด้วยอรรถหนึ่ง ฉะนั้นจึงเป็นหนึ่ง. ท่านเพ่งถึงความที่สัจจะทั้งหลายเป็นหนึ่ง แม้ในความที่มีมากแล้วทำให้เป็น เอกวจนะ.
บทว่า เอกตฺตํ เอเกน าเณน ปฏิวิชฺฌติ บุคคลย่อมแทงตลอด สัจจะหนึ่งด้วยญาณเดียว คือ บุคคลกำหนด กำหนดเป็นอย่างดีถึงความที่สัจจะ ๔ ต่างกันและเป็นอันเดียวกัน ในส่วนเบื้องต้นแล้วดำรงอยู่ ย่อมแทงตลอด สัจจะหนึ่งมีความเป็นของแท้เป็นต้น ด้วยมรรคญาณหนึ่งในขณะแห่ง มรรค. อย่างไร เมื่อแทงตลอดสัจจะหนึ่งมีความเป็นของแท้เป็นต้น แห่ง นิโรธสัจ ย่อมเป็นอันแทงตลอดสัจจะหนึ่งมีความเป็นของแท้เป็นต้น แม้แห่ง สัจจะที่เหลือก็เหมือนกัน. เมื่อพระโยคาวจรกำหนด กำหนดด้วยดีถึงความต่างกัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 499
และเป็นอันเดียวกันแห่งขันธ์ ๕ ในส่วนเบื้องต้น แล้วตั้งอยู่ ในเวลาออกจาก มรรค ออกโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ หรือโดยความ เป็นอนัตตา แม้เมื่อเห็นขันธ์หนึ่ง โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นต้น แม้ ขันธ์ที่เหลือก็เป็นอันเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นต้น ฉันใด แม้ข้อนี้ ก็พึงเห็นมีอุปมาฉันนั้น.
บทว่า ทุกฺขสฺส ทุกฺขฏฺโ ตถฏฺโ สภาพทนได้ยากแห่งทุกข์ เป็นสภาพแท้ คือ อรรถ ๔ อย่างมีความบีบคั้นแห่งทุกขสัจเป็นต้น เป็น สภาพแท้ เพราะเป็นจริง. แม้ในสัจจะที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อรรถ ๔ อย่างนั้นนั่นแล ชื่อว่า เป็นสภาพมิใช่ตัวตน เพราะไม่มีตัวตน ชื่อว่า เป็น สภาพจริง เพราะไม่ผิดไปจากความจริงโดยสภาพดังกล่าวแล้ว ชื่อว่า เป็น สภาพแทงตลอด เพราะควรแทงตลอดในขณะแห่งมรรค.
บทมีอาทิว่า ยํ อนิจฺจํ สิ่งใดไม่เที่ยง ท่านแสดงทำสามัญลักษณะ ให้เป็นเบื้องต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยํ อนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ ยํ ทุกฺขํ ยํ ทุกฺขํ ตํ อนิจฺจํ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่เที่ยง ท่านหมายเอา ทุกข์ สมุทัย และมรรค เพราะสัจจะ ๓ เหล่านั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง และ ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง. บทว่า ยํ อนิจฺจญฺจ ทุกฺขญฺจ ตํ อนตฺตา สิ่งใดไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ท่านสงเคราะห์นิโรธสัจกับ มรรค ๓ เหล่านั้น. จริงอยู่ แม้สัจจะ ๔ ก็เป็นอนัตตา. บทว่า ตํ ตถํ สิ่งนั้นเป็นของแท้ คือ สิ่งนั้นเป็นของจริงเป็นสัจจจตุกกะ. บทว่า ตํ สจฺจํ สิ่งนั้นเป็นของจริง คือ สิ่งนั้นนั่นแหละไม่ผิดไปจากความจริง ตามสภาพเป็น สัจจจตุกกะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 500
ในบทมีอาทิว่า นวหากาเรหิ ด้วยอาการ ๙ พึงทราบว่าท่านแสดง ด้วยความรู้ยิ่ง เพราะพระบาลีว่า สพฺพํ ภิกฺขเว อภิญฺเยฺยํ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย สิ่งควรรู้ยิ่งทั้งปวงเป็นอาทิ ด้วยความกำหนดรู้ เพราะความปรากฏ แห่งญาติปริญญาในสัจจะ ในสัจจะนี้แม้แยกกันในความกำหนดรู้ทุกข์ ใน การละสมุทัย ในการเจริญมรรค ในการทำให้แจ้งนิโรธ ด้วยการละ เพราะ ปรากฏการละด้วยเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยการเจริญ เพราะปรากฏการเจริญอริยสัจ ๔ ด้วยทำให้แจ้ง เพราะปรากฏการทำให้แจ้งอริยสัจ ๔.
ในบทมีอาทิว่า นวหากาเรหิ ตถฏฺเน ด้วยความเป็นของแท้ ด้วยอาการ ๙ ท่านประกอบตามนัยที่กล่าวแล้วครั้งแรกนั่นเอง. ในบทมีอาทิว่า ทฺวาทสหิ อากาเรหิ ด้วยอาการ ๒ ความเป็นของแท้เป็นต้น มีความ ดังกล่าวแล้วในญาณกถา. พึงทราบการประกอบตามนัยดังกล่าวแล้วแม้ในนิเทศ แห่งอาการเหล่านั้น.
ในบทมีอาทิว่า สจฺจานํ กติ ลกฺขณานิ สัจจะมีลักษณะเท่าไร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแยกลักษณะ ๖ ที่ควรกล่าวต่อไปเป็นสองส่วน คือ เป็นสังขตะและอสังขตะ แล้วตรัสว่า เทฺว ลกฺขณานิ มีลักษณะ ๒ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขตลกฺขณญฺจ อสงฺขตลกฺขณญฺจ สังขตลักษณะ และอสังขตลักษณะ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสังขตลักษณะและอสังขตลักษณะไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ เหล่านี้ คือ ความเกิดปรากฏ ความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรเป็นอย่างอื่น ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ เหล่านี้ คือ ความเกิดไม่ปรากฏ ความเสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความแปรเป็นอย่างอื่น ไม่ปรากฏ ดังนี้ แต่สังขตธรรมไม่ใช่ลักษณะ ลักษณะไม่ใช่สังขตธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 501
อนึ่ง เว้นสังขตธรรมเสียแล้วไม่สามารถบัญญัติลักษณะได้ แม้เว้นลักษณะ เสียแล้วก็ไม่สามารถบัญญัติสังขตธรรมได้ แต่สังขตธรรมย่อมปรากฏได้ด้วย ลักษณะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงลักษณะทั้งสองนั้นโดยพิสดาร จึงตรัสว่า ฉ ลกฺขณานิ ลักษณะทั้งหลาย ๖. บทว่า สงฺขตานํ สจฺจานํ สัจจะที่ปรุงแต่ง คือ ทุกขสัจ สมุทยสัจ และมรรคสัจ เพราะสัจจะเหล่านั้น ชื่อว่า สังขตะ เพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง. บทว่า อุปฺปาโท คือ ชาติ. บทว่า ปญฺายติ คือ ย่อมให้รู้. บทว่า วโย คือ ความดับ. บทว่า ิตานํ อญฺถตฺตํ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรากฏ คือ เมื่อยังตั้งอยู่ ความเป็น อย่างอื่น คือ ชราปรากฏ เพราะสัจจะที่ปรุงแต่ง ๓ สำเร็จแล้ว ท่านจึงกล่าว ถึงความเกิด ความเสื่อม และความแปร แต่ไม่ควรกล่าวถึงความเกิด ความ เสื่อม และความแปร เพราะความเกิด ความชรา และความดับของสัจจะที่ ปรุงแต่งเหล่านั้นยังไม่สำเร็จ ไม่ควรกล่าวว่า ความเกิด ความเสื่อมและ ความแปรไม่ปรากฏ เพราะอาศัยสิ่งปรุงแต่ง แต่ควรกล่าวว่าเป็นสังขตะ เพราะความผิดปกติของสังขตะ. อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ความเกิด ความชรา และความดับของทุกข์และสมุทัย นับเนื่องด้วยสัจจะ ความเกิด ความชรา ความดับของมรรคสัจ ไม่นับเนื่องด้วยสัจจะ.
ในบทนั้นท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาแห่งขันธกวรรคว่า ในขณะสังขตะ ทั้งหลายเกิด สังขตะทั้งหลายก็ดี ลักษณะแห่งความเกิดก็ดี ขณะสังขตะเกิด นั้นกล่าว คือ กาลก็ดีย่อมปรากฏ เมื่อความเกิดล่วงไป สังขตะก็ดี ลักษณะชรา ก็ดี ขณะแห่งความเกิด กล่าวคือกาลก็ดีย่อมปรากฏ ในขณะดับ สังขตะก็ดี ชราก็ดี ลักษณะดับก็ดี ขณะแห่งความดับนั้นกล่าวคือกาลก็ดีย่อมปรากฏ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 502
บทว่า อสงฺขตสฺส สจฺจสฺส สัจจะที่ไม่ปรุงแต่ง คือ นิโรธสัจ เพราะนิโรธสัจนั้นชื่อว่าอสังขตะ เพราะสำเร็จเองไม่ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง. บทว่า ิตสฺส เมื่อตั้งอยู่ คือ ตั้งอยู่เพราะความเป็นสภาพเที่ยง มิได้ตั้งอยู่ เพราะความถึงฐานะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงลักษณะทั้งสองนั้นอีกโดยพิสดาร จึงตรัสว่า ทฺวาทส ลกฺขณานิ ลักษณะทั้งหลาย ๑๒.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า จตุนฺนํ สจฺจานํ กติ กุสลา สัจจะ ๔ เป็นกุศลเท่าไร ดังต่อไปนี้. บทว่า อพฺยากตํ อัพยากฤต (ทำให้ แจ้งไม่ได้) คือ นิพพานเป็นอัพยากฤตในอัพยากฤต ๔ คือ วิบากเป็นอัพยากฤต กิริยาเป็นอัพยากฤต รูปเป็นอัพยากฤต นิพพานเป็นอัพยากฤต เพราะอัพยากฤต แม้ ๔ ชื่อว่า อัพยากฤต เพราะทำให้แจ้งไม่ได้ด้วยลักษณะเป็นกุศลและอกุศล. บทว่า สิยา กุสลํ เป็นกุศลก็มี คือ เป็นกุศลด้วยอำนาจแห่งกามาวจรกุศล รูปาวจรกุศลและอรูปาวจรกุศล. บทว่า สิยา อกุสลํ เป็นอกุศลก็มี คือ เป็นอกุศลด้วยอำนาจแห่งอกุศลที่เหลือเว้นตัณหา. บทว่า สิยา อพฺยากตํ เป็นอัพยากฤตก็มี คือ เป็นอัพยากฤตด้วยอำนาจแห่งวิบากกิริยาอันเป็นกามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร และแห่งรูปทั้งหลาย. พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า สิยา ตีณิ สจฺจานิ พึงเป็นสัจจะ ๓ ดังต่อไปนี้. บทว่า สงฺคหิตานิ ท่านสงเคราะห์ คือ นับเข้า. บทว่า วตฺถุวเสน ด้วยสามารถแห่งวัตถุ คือ ด้วยสามารถแห่งวัตถุกล่าวคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคที่เป็นอกุศล กุศล และอัพยากฤต. บทว่า ยํ ทุกฺขสจฺจํ อกุสลํ ทุกขสัจเป็นอกุศล คือ อกุศล ที่เหลือเว้นตัณหา. บทว่า อกุสลฏฺเน เทฺว สจฺจานิ เอกสจฺเจน สงฺคหิตานิ สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ ด้วยความเป็นอกุศล คือ ทุกขสัจและสมุทยสัจ ๒ เหล่านี้ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ ด้วยความเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 503
อกุศล อธิบายว่า ชื่อว่าเป็นอกุศลสัจจะ บทว่า เอกสจฺจํ ทฺวีหิ สจฺเจหิ สงฺคหิตํ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ คือ อกุศลสัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ ด้วยทุกขสัจและสมุทยสัจ ๒. บทว่า ยํ ทุกฺขสจฺจํ กุสลํ ทุกขสัจเป็นกุศล คือ เป็นกุศล เป็นไปในภูมิ ๓ ทุกขสัจและมรรคสัจ ๒ เหล่านี้ท่านสงเคราะห์ ด้วยสัจจะ ๑ ด้วยความเป็นกุศล ชื่อว่าเป็นกุศลสัจจะ กุศลสัจจะ ๑ ท่าน สงเคราะห์ด้วยทุกขสัจและมรรคสัจ ๒. บทว่า ยํ ทุกฺขสจฺจํ อพฺยากตํ ทุกขสัจเป็นอัพยากฤต คือ วิบากกิริยาอันเป็นไปในภูมิ ๓ และรูป ทุกขสัจ และนิโรธสัจ ๒ เหล่านี้ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ ด้วยความเป็นอัพยากฤต ชื่อว่าเป็นอัพยากฤตสัจจะ อัพยากฤตสัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยทุกขสัจและ นิโรธสัจ ๒.
บทว่า ตีณิ สจฺจานิ เอกสจฺเจน สงฺคหิตานิ สัจจะ ๓ ท่าน สงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ คือ สมุทยสัจ มรรคสัจ และนิโรธสัจ ท่านสงเคราะห์ ด้วยทุกขสัจอันเป็นอกุศล กุศล และอัพยากฤต ๑. บทว่า เอกํ สจฺจํ ตีหิ สจฺเจหิ สงฺคหิตํ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๓ คือ ทุกขสัจ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสมุทยสัจ มรรคสัจและนิโรธสัจอันเป็นอกุศล กุศล และ อัพยากฤตไว้ต่างหาก. ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาไว้ว่า ทุกขสัจและ สมุทยสัจท่านสงเคราะห์ด้วยสมุทยสัจ ด้วยความเป็นอกุศล ทุกขสัจและมรรคสัจ ท่านสงเคราะห์ด้วยมรรคสัจ ด้วยความเป็นกุศล มิใช่ด้วยความเป็นทัศนะ. ทุกขสัจและนิโรธสัจท่านสงเคราะห์ด้วยนิโรธสัจ ด้วยความเป็นอัพยากฤต มิใช่ด้วยความเป็นอสังขตะ.
จบอรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 504
อรรถกถาทุติยสุตตันตปาลิ
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงชี้แจงการแทงตลอดสัจจะด้วย อำนาจแห่งอรรถของพระสูตรอื่นอีก จึงทรงนำพระสูตรมาทรงแสดงมีอาทิว่า ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ เม ภิกฺขเว สมฺโพธา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่ตรัสรู้ คือ แต่สัพพัญญุตญาณของเรา. บทว่า อนภิสมฺพุทฺธสฺส ยังไม่ตรัสรู้ คือ ยังไม่แทงตลอดธรรมทั้งปวง. บทว่า โพธสตฺตสฺเสว สโต คือ เมื่อเราเป็นโพธิสัตว์. บทว่า เอตทโหสิ ได้มีความ คิดนี้ คือ เมื่อเรานั่งเหนือโพธิบัลลังก์ ได้มีความปริวิตกนี้. บทว่า อสฺสาโท ความพอใจ ชื่อว่า อัสสาทะ เพราะความพอใจ. บทว่า อาทีนโว คือ เป็นโทษ. บทว่า นิสฺสรณํ เป็นอุบายเครื่องสลัดออก คือ หลีกออกไป. บทว่า สุขํ ชื่อว่า สุข เพราะถึงความสบาย อธิบายว่า กระทำรูปที่เกิดขึ้น ให้มีความสุข. บทว่า โสมนสฺสํ ชื่อว่า สุมนะ เพราะมีใจงาม เพราะประกอบ ด้วยปีติและโสมนัส ความเป็นแห่งความมีใจงาม ชื่อว่า โสมนัส ความสุข นั่นแหละวิเศษกว่าการประกอบด้วยปีติ. บทว่า อนิจฺจํ คือ ไม่ยั่งยืน. บทว่า ทุกฺขํ ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ และเพราะสังขารเป็นทุกข์. บทว่า วิปริณามธมฺมํ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา คือ ไม่อยู่ในอำนาจ มีความเปลี่ยนแปลงไปด้วยชราและความดับเป็นปกติ ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึง ความไม่มีตัวตน. บทว่า ฉนฺทราควินโย ความกำจัดฉันทราคะ คือ กั้นราคะอันได้แก่ฉันทะ มิใช่กั้นราคะ คือ ผิวพรรณ. บทว่า ฉนฺทราคปฺปหานํ ความละฉันทราคะ คือ ละฉันทราคะนั้นนั่นเอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 505
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ยาวกีวญฺจ เพียงใดดังต่อไปนี้. เรายังไม่รู้ทั่วถึง คือ ไม่แทงตลอดด้วยญาณอันยิ่งซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ ฯลฯ แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็นจริงเพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณ คือ ไม่ทำการปฏิญญา ว่า เราเป็นอรหันต์ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ความเป็นสัพพัญญู ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเพียงนั้น พึงทราบอรรถโดยความ เชื่อมด้วยประการฉะนี้. บทว่า กีวญฺจ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ยโต คือ เพราะเหตุใด หรือในกาลใด. บทว่า อถ คือในลำดับ.
บทว่า าณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณทัศนะเกิดขึ้น แก่เรา คือ ปัจจเวกขณญาณ คือ ทัศนะเกิดขึ้นแก่เราด้วยทำด้วยทำกิจคือทัศนะ. บทว่า อกุปฺปา ไม่กำเริบ คือ ไม่อาจให้กำเริบ ให้หวั่นไหวได้. บทว่า วิมุตฺติ คือ อรหัตตผลวิมุตติ แม้การพิจารณามรรคนิพพานก็เป็นอันท่านกล่าวด้วยการ พิจารณาผลนั่นเอง. บทว่า อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้มีในที่สุด คือ ความ เป็นไปแห่งขันธ์นี้มีในที่สุด. บทว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเกิด อีกมิได้มี คือ บัดนี้ไม่มีการเกิดอีก ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงการพิจารณา กิเลสที่ละได้แล้ว เพราะการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่ ไม่มีแก่พระอรหันต์.
จบอรรถกถาทุติยสุตตันตปาลินิเทศ
อรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ
การรู้ว่า สุขโสมนัสสัมปยุตด้วยตัณหานี้เป็นคุณแห่งรูป ในลำดับ แห่งการประกอบสัจจปฏิเวธญาณ และในส่วนเบื้องต้นว่า อยํ รูปสฺส อสฺสาโทติ ปหานปฺปฏิเวโธ การแทงตลอดด้วยการละว่า สุขโสมนัสนี้เป็นคุณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 506
แห่งรูป แล้วแทงตลอดสมุทยสัจ กล่าวคือการละสมุทัยในขณะแห่งมรรค. บทว่า สมุทยสจฺจํ สมุทยสัจ คือ ญาณอันแทงตลอดสมุทยสัจ. จริงอยู่ แม้อารัมมณญาณอันเป็นอริยสัจ ท่านก็กล่าวว่า สัจจะ ดุจในประโยคมีอาทิ ว่า กุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง กุศลธรรมทั้งหมดเหล่านั้น ย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าในอริยสัจ ๔.
การรู้ว่า รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดานี้เป็น โทษแห่งรูปในส่วนเบื้องต้นว่า อยํ รูปสฺส อาทีนโวติ ปริญฺาปฏิเวโธ การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ว่า รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไป เป็นธรรมดานี้เป็นโทษแห่งรูป แล้วแทงตลอดทุกขสัจ กล่าวคือ การกำหนดรู้ ทุกข์ในมรรคญาณ. บทว่า ทุกฺขสจฺจํ ได้แก่ ญาณอันแทงตลอดทุกขสัจ.
การรู้ว่า นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่รูปในส่วนเบื้องต้นว่า อิทํ รูปสฺส นิสฺสรณนฺติ สจฺฉิกิริยาปฏิเวโธ การแทงตลอดด้วยทำให้แจ้งว่า การกำจัดฉันทราคะการละฉันทราคะนี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป แล้ว แทงตลอดนิโรธสัจกล่าวคือ การทำให้แจ้งนิโรธสัจในขณะแห่งมรรค. บทว่า นิโรธสจฺจํ นิโรธสัจ คือญาณแทงตลอดนิโรธสัจ มีนิโรธสัจเป็นอารมณ์. บทว่า ยา อิเมสุ ตีสุ าเนสุ ในฐานะ ๓ เหล่านี้ พึงทราบการประกอบความ ว่า ทิฏฐิ สังกัปปะ เป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งการแทงตลอดใน สมุทัย ทุกข์ นิโรธ ๓ ตามที่กล่าวแล้วนี้. บทว่า ภาวนาปฏิเวโธ การแทงตลอดด้วย ภาวนา คือ แทงตลอดด้วยมรรคสัจ อันได้แก่มรรคภาวนานี้. บทว่า มคฺคสจฺจํ มรรคสัจ คือ ญาณอันแทงตลอดมรรคสัจ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดง สัจจะและการแทงตลอดสัจจะ โดยปริยายอื่นอีกจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า สจฺจนฺติ กตีหากาเรหิ สจฺจํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 507
สัจจะด้วยอาการเท่าไร. ในบทนั้น เพราะพระสัพพัญญูโพธิสัตว์แม้ทั้งปวง นั่งเหนือโพธิบัลลังก์แสวงหาสมุทยสัจมีชาติเป็นต้น ของทุกขสัจ มีชรามรณะ เป็นต้นว่าอะไรหนอ. อนึ่ง เมื่อแสวงหาอย่างนั้นจึงกำหนดถือเอาว่า สมุทยสัจ มีชาติเป็นต้นเป็นปัจจัยของทุกขสัจมีชราและมรณะเป็นต้น ฉะนั้น การแสวงหา นั้น และการกำหนดนั้น ท่านทำว่าเป็นสัจจะ เพราะแสวงหาและเพราะกำหนด สัจจะทั้งหลาย แล้วจึงกล่าวว่า เอสนฏฺเน ปริคฺคนฏฺเน ด้วยความแสวงหา ด้วยความกำหนด.
อนึ่ง วิธีนี้ย่อมได้ในการกำหนดปัจจัย แม้ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลาย แต่ย่อมได้ในการกำหนดปัจจัยของพระสาวกทั้งหลาย ด้วยการเชื่อฟัง. บทว่า ปฏิเวธฏฺเน ด้วยความแทงตลอด คือ ด้วยความแทงตลอดเป็นอัน เดียวกันในขณะแห่งมรรค ของผู้แสวงหาและของผู้กำหนดอย่างนั้นในส่วน เบื้องต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า กึนิทานํ ดังต่อไปนี้. บทว่า นิทาน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของเหตุทั้งหมด เพราะเหตุย่อมมอบให้ซึ่งผล ดุจบอกว่า เชิญพวกท่านรับของนั้นเถิดดังนี้ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า นิทาน เพราะผล ย่อมตั้งขึ้น เกิดขึ้น เป็นขึ้น จากเหตุนั้น ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สมุทย ชาติ ปภโว. ในบทนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้. ชื่อว่า กึนิทานํ เพราะมีอะไรเป็นเหตุ. ชื่อว่า กึสมุทยํ เพราะมีอะไรเป็นสมุทัย. ชื่อว่า กึชาติกํ เพราะมีอะไร เป็นกำเนิด. ชื่อว่า กึปภวํ เพราะมีอะไรเป็นแดนเกิด.
อนึ่ง เพราะชรามรณะนั้นมีชาติเป็นเหตุ มีชาติเป็นสมุทัย มีชาติเป็น กำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด ด้วยอรรถตามที่กล่าวแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ชาตินิทานํ มีชาติเป็นเหตุ เป็นอาทิ. บทว่า ชรามรณํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 508
ชราและมรณะ คือ ทุกขสัจ. บทว่า ชรามรณสมุทยํ เหตุเกิดแห่งชรา และมรณะ คือ สมุทยสัจเป็นปัจจัยแห่งชราและมรณะนั้น. บทว่า ชรามรณนิโรธํ ความดับแห่งชราและมรณะ คือ นิโรธสัจ. บทว่า ชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทํ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ คือ มรรคสัจ. พึงทราบอรรถในบททั้งปวงโดยนัยนี้. บทว่า นิโรธปฺปชานนา การรู้ ชัดความดับ คือ รู้ความดับด้วยทำอารมณ์. บทว่า ชาติ สิยา ทุกฺขสจฺจํ สิยา สมุทยสจฺจํ ชาติเป็นทุกขสัจก็มี เป็นสมุทยสัจก็มี ชื่อว่า ทุกขสัจ ด้วยความปรากฏ เพราะภพเป็นปัจจัย ชื่อว่า สมุทยสัจ ด้วยความเป็นปัจจัย ของชราและมรณะ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้. บทว่า อวิชฺชา สิยา ทุกฺขสจฺจํ อวิชชาเป็นทุกขสัจก็มี คือ อวิชชาเป็นสมุทัยแห่งอาสวะด้วยความมี อวิชชาเป็นสมุทัย.
จบอรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ
จบอรรถกถาสัจจกถา