๑. สมิติคุตตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสมิติคุตตเถระ
โดย บ้านธัมมะ  18 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40482

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 395

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๙

๑. สมิติคุตตเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสมิติคุตตเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 395

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ ๙

๑. สมิติคุตตเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสมิติคุตตเถระ

[๒๑๘] ได้ยินว่า พระสมิติคุตตเถระไค้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

บาปกรรมใดที่เราได้กระทำไว้แล้ว ในชาติอื่นๆ ในกาลก่อน เราจึงได้เสวยผลของบาปกรรมนั้น ในอัตภาพนี้เอง เรื่องบาปกรรมอื่นจักไม่มีอีกต่อไป.

วรรควรรณนาที่ ๙

อรรถกถาสมิติคุตตเถรคาถา

คาถาของท่านพระสมิติคุตตเถระ เริ่มต้นว่า ยํ มยา ปกตํ ปาปํ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนั้น ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เป็นอันมาก บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พบพระผู้มีพระภาคเจ้า มีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยดอกมะลิ.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจะเกิดในภพใดๆ ก็ได้ตั้งอยู่ในฐานะ ที่มีกุลสมบัติ รูปสมบัติ และบริวารสมบัติ เหนือสัตว์เหล่าอื่นในภพนั้นๆ.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 396

ก็ในอัตภาพหนึ่ง เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เที่ยวบิณฑบาตอยู่ คิดว่าสมณะโล้นรูปนี้ ชะรอยจะเป็นโรคเรื้อน ด้วยเหตุนั้น สมณะรูปนี้จึงต้องเอา ผ้าคลุมตัวเที่ยวไป ดังนี้แล้ว ถ่มน้ำลายรด หลีกไปแล้ว.

ด้วยกรรมนั้น เขาหมกไหม้อยู่ในนรก ตลอดกาลเป็นอันมาก แล้วบังเกิดในมนุษยโลก ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสป เขาบวชเป็นปริพาชก เห็นอุบาสกผู้สมบูรณ์ด้วยสีลาจารวัตรคนหนึ่ง แล้วขุ่นเคือง ได้ด่าว่า เจ้าคงเป็นโรคเรื้อน ดังนี้ และทำลายจุณสำหรับอาบน้ำ ที่มนุษย์ทั้งหลายวางไว้ที่ท่าน้ำ.

ด้วยกรรมนั้น เขาบังเกิดในนรกอีก เสวยทุกข์สิ้นปีเป็นอันมาก ในพุทธุปบาทกาลนี้ มาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ได้มีนามว่า สมิติคุตตะ. เขาเจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาของ พระบรมศาสดา ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต บวชแล้ว เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์หมดจดอยู่ ด้วยผลแห่งกรรมเก่าของท่าน โรคเรื้อนเกิดขึ้นแล้ว. ด้วยโรคเรื้อนนั้น ทำให้อวัยวะร่างกายของท่านแตกเป็นริ้วรอยโดยทั่วไปแล้ว มีน้ำเหลืองไหลออก. ท่านพักอยู่ในศาลาสำหรับภิกษุอาพาธ.

ครั้นวันหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีไปเยี่ยมไข้ สอบถามภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นไข้ในที่นั้นๆ เห็นภิกษุนั้นแล้ว บอกกรรมฐานที่มีเวทนานุปัสสนาเป็นอารมณ์ว่า ดูก่อนอาวุโส ตราบใดขันธ์ยังเป็นไปอยู่ ก็ต้องเสวยทุกข์ทั้งปวงอยู่ตราบนั้น แต่เมื่อขันธ์ทั้งหลายไม่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์จึงหมดไป ดังนี้แล้ว ได้หลีกไปแล้ว. ท่านตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว เจริญวิปัสสนา ได้กระทำให้แจ้งอภิญญา ๖ แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ ประสูติจากพระครรภ์ แสงสว่างได้มีอย่างไพบูลย์ และพื้นปฐพี


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 397

พร้อมทั้งสมุทรสาคร และภูเขาก็หวั่นไหว อนึ่ง พวกโหราจารย์ ก็พยากรณ์ว่า พระพุทธเจ้าจักอุบัติในโลก จักเป็นผู้เลิศกว่าสรรพสัตว์ จักรื้อถอนหมู่ชน (จากสังสารทุกข์) เราได้ฟังคำของพวกโหราจารย์แล้ว ได้ทำการบูชาพระชาติ ด้วยดำริว่า การบูชาพระชาติเช่นกับพระชาตินี้ไม่มี เรารวบรวมกุศลแล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส ครั้นเราทำการบูชาพระชาติแล้ว ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราได้เป็นใหญ่กว่าสรรพสัตว์ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระชาติ พี่เลี้ยง นางนม ย่อมบำรุงเรา เป็นไปตามอำนาจจิตของเรา เขาไม่อาจยังเราให้โกรธเคือง นี้เป็นผลแห่งการบูชา พระชาติ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำการบูชาใด ในกาลนั้น ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งการบูชาพระชาติ ในกัปที่ ๓ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ พระองค์ เป็นจอมคน มีพระนานว่า "สุปาริจริยา" มีพลนุภาพมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นเป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว ระลึกถึงบาปกรรมอันตน กระทำแล้วในชาติก่อนๆ ด้วยสามารถแห่งโรคที่ตนกำลังเสวยอยู่ในปัจจุบัน โดยมุ่งถึงการพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว เป็นสำคัญ บัดนี้ เมื่อจะประกาศความที่กิเลสนั้น อันตนละได้แล้ว โดยประการทั้งปวง ได้กล่าวคาถาว่า


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 398

บาปกรรมใดที่เรากระทำไว้แล้ว ในชาติอื่นๆ ในกาลก่อน เราได้เสวยผลของบาปกรรมนั้น ในอัตภาพนี้เอง เรื่องบาปกรรมอื่น จักไม่มีอีก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปํ ได้แก่ อกุศลกรรม. ก็อกุศลกรรม นั้นท่านเรียกว่า บาป เพราะอรรถว่า ลามก. บทว่า ปุพฺเพ แปลว่า ใน กาลก่อน. บทว่า อญฺญาสุ ชาติสุ ความว่า ในชาติเหล่าอื่น จากชาตินี้ ได้แก่ ในอัตภาพอื่น.

ก็ในคาถานี้ มีใจความ ดังนี้ว่า ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ทำบาปกรรมเช่นนั้นในอัตภาพนี้ และบาปกรรมนั้นจะเกิดไม่ได้เลยในบัดนี้ก็จริง แต่บาปกรรมใดที่เราทำไว้ในชาติอื่นนอกจากชาตินี้ยังมีอยู่ บาปกรรมนั้นเรากำลังเสวยอยู่ในอัตภาพนี้ทีเดียว อธิบายว่า กรรมนั้น คือผล ที่เรากำลังเสวย คือประสบอยู่ ในชาตินี้แหละ คือในอัตภาพนี้เอง. เพราะเหตุไร? เพราะเรื่องบาปกรรมอื่นจะไม่มี (อีกต่อไป). เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเสวยกรรมนั้น คือความเกี่ยวพันของขันธ์อื่น จึงไม่มี ก็ขันธ์เหล่านี้หาปฏิสนธิมิได้ ย่อมดับไป ด้วยการดับแห่งจริมกจิต เพราะละอุปทานได้แล้ว โดยประการทั้งปวง เหมือนเปลวไฟ ไม่มีเชื้อดับไป ฉะนั้น. พระเถระพยากรณ์พระอรหัตตผลแล้ว ด้วยประการดังพรรณนามานี้.

จบอรรถกถาสมิติคุตตเถรคาถา