พรรณนาพุทธกิจ ๕ ประการ
โดย ไตรสรณคมน์  24 เม.ย. 2550
หัวข้อหมายเลข 3544

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 147 พรรณนาพุทธกิจ ๕ ประการ ขึ้นชื่อว่ากิจนี้มี ๒ อย่าง คือ กิจที่มีประโยชน์และกิจที่ไม่มีประโยชน์ บรรดากิจ ๒ อย่างนั้น กิจที่ไม่มีประโยชน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเพิกถอนแล้วด้วยอรหัตตมรรค ณ โพธิบัลลังก์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีกิจแต่มีประโยชน์เท่านั้น กิจที่มีประโยชน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมี ๕ อย่าง คือ ๑. กิจในปุเรภัต ๒. กิจในปัจฉาภัต ๓. กิจในปุริมยาม ๔. กิจในมัชฌิมยาม ๕. กิจในปัจฉิมยาม ในบรรดากิจ ๕ อย่างนั้น กิจในปุเรภัต มีดังนี้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทรงปฏิบัติพระสรีระ มีบ้วนพระโอฐษ์เป็นต้น เพื่อทรงอนุเคราะห์อุปฐากและเพื่อความสําราญแห่งพระสรีระ เสร็จแล้วทรงประทับยับยั้งอยู่บนพุทธอาสน์ที่เงียบสงัด จนถึงเวลาภิกษาจาร ครั้นถึงเวลาภิกษาจาร ทรงนุ่งสบง ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวร ทรงถือบาตร บางครั้งเสด็จพระองค์เดียว บางครั้งแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังคามหรือนิคม บางครั้งเสด็จเข้าไปตามปกติ บางครั้งก็เสด็จเข้าไปด้วยปาฏิหาริย์หลายประการ คืออย่างไร เมื่อพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ลมที่พัดอ่อนๆ พัดไปเบื้องหน้าแผ่วพื้นพสุธาให้สะอาดหมดจด พลาหกก็หลั่งหยาดน้ำลง ระงับฝุ่นละอองในมรรคา กางกั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน กระแสลมก็หอบเอาดอกไม้ทั้งหลายมาโรยลง ในบรรดาภูมิประเทศที่สูงก็ต่ำลง ที่ต่ำก็สูงขึ้น ภาคพื้นก็ราบเรียบสม่ำเสมอ ในขณะที่ทรงย่างพระยุคลบาทหรือ มีปทุมบุปผชาติอันมีสัมผัสนิ่มนวลชวนสบายคอยรองรับพระยุคลบาท พอพระบาทเบื้องขวาประดิษฐานลงภายในธรณีประตู พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ไพศาล ซ่านออกจากพระพุทธสรีระพุ่งวนแวบวาบประดับปราสาทราชมณเฑียร เป็นต้น ดังแสงเลื่อมพรายแห่งทอง และดั่งล้อมไว้ด้วยผืนผ้าอันวิจิตร บรรดาสัตว์ทั้งหลาย มี ช้าง ม้า และนก เป็นต้น ซึ่งอยู่ในสถานที่แห่งตนๆ ก็พากันเปล่งสําเนียงอย่างเสนาะ ทั้งดนตรีที่ไพเราะ เช่น เภรี และพิณ เป็นต้น ก็บรรเลงเสียงเพียงดนตรีสวรรค์ และสรรพาภรณ์แห่งมนุษย์ทั้งหลาย ก็ปรากฏสวมใส่ร่างกายในทันที ด้วยสัญญาณอันนี้ ทําให้คนทั้งหลายทราบได้ว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในย่านนี้ เขาเหล่านั้นต่างก็แต่งตัวนุ่งห่มเรียบร้อย พากันถือของหอมและดอกไม้ เป็นต้น ออกจากเรือนเดินไปตามถนนบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น โดยเคารพ ถวายบังคมแล้ว กราบทูลขอสงฆ์ว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์ ๑๐ รูป ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์ ๒๐ รูป แก่พวกข้าพระองค์ ๕๐ รูป แก่พวกข้าพระองค์ ๑๐๐ รูป ดังนี้ แล้วรับบาตรแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปูลาดอาสนะน้อมนําถวายบิณฑบาตโดยเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทําภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงตรวจดูจิตสันดานของสัตว์เหล่านั้น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดให้บางพวกตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางพวกตั้งอยู่ในศีล ๕ บางพวกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อย่างใดอย่างหนึ่ง บางพวกบวชแล้วตั้งอยู่ในพระอรหัต ซึ่งเป็นผลเลิศ ทรงอนุเคราะห์มหาชนดังพรรณนามาฉะนั้น แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จไปยังพระวิหาร ครั้นแล้วประทับนั่งบนพุทธอาสน์อันบวรซึ่งปูลาดไว้ในมัณฑลศาลา ทรงรอคอยการเสร็จภัตกิจของภิกษุทั้งหลาย ครั้นภิกษุทั้งหลายเสร็จกิจเรียบร้อยแล้ว ภิกษุผู้อุปฐากก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ ลําดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จเข้าพระคันธกุฎี นี้เป็นกิจในปุเรภัตก่อน. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงบําเพ็ญกิจในปุเรภัตเสร็จแล้วอย่างนี้ ประทับนั่ง ณ ศาลาปรนนิบัติใกล้พระคันธกุฎี ทรงล้างพระบาท แล้วประทับยืนบนตั่งรองพระบาท ประทานโอวาทภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด และว่า ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลภา ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ ปพฺพชฺช จ ทุลฺลภา ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ

ความเป็นมนุษย์ หาได้ยาก ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า หาได้ยาก ความถึงพร้อมด้วยขณะ หาได้ยาก พระสัทธรรม หาได้ยากอย่างยิ่ง ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก การบวช หาได้ยาก การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก

ณ ที่นั้น ภิกษุบางพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของภิกษุเหล่านั้น.

ลําดับนั้น ภิกษุทั้งปวงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วไปยังที่พักกลางคืนและกลางวันของตนๆ บางพวกก็ไปป่า บางพวกก็ไปสู่โคนไม้ บางพวกก็ไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่ง มีภูเขา เป็นต้น บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ฯลฯ บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาชั้นวสวัดดี ด้วยประการฉะนี้.

ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ถ้ามีพระพุทธประสงค์ ก็ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สําเร็จสีหไสยาครู่หนึ่ง โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ครั้นมีพระวรกายปลอดโปร่งแล้ว เสด็จลุกขึ้นตรวจดูโลกในภาคที่สอง ณ คาม หรือนิคมที่พระองค์เสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่ มหาชนพากันถวายทานก่อนอาหาร

ครั้นเวลาหลังอาหารนุ่งห่มเรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ เป็นต้น มาประชุมกันในพระวิหาร ครั้นเมื่อบริษัทพร้อมเพรียงกันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปด้วยพระปาฏิหาริย์อันสมควร ประทับนั่ง แสดงธรรมที่ควรแก่กาลสมัย ณ บวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ ณ ธรรมสภา ครั้นทรงทราบกาลอันควรแล้วก็ทรงส่งบริษัทกลับ เหล่ามนุษย์ต่างก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วพากันหลีกไป นี้เป็นกิจหลังอาหาร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ครั้นเสร็จกิจหลังอาหารอย่างนี้แล้ว ถ้ามีพระพุทธประสงค์จะโสรจสรงพระวรกาย ก็เสด็จลุกจากพุทธอาสนะ เข้าซุ้มเป็นที่สรงสนาน ทรงสรงพระวรกายด้วยน้ำที่ภิกษุผู้เป็นพุทธุปฐากจัดถวาย ฝ่ายภิกษุผู้เป็นพุทธุปฐากก็นําพุทธอาสนะมาปูลาดที่บริเวณพระคันธกุฎี

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองจีวรสองชั้นอันย้อมดีแล้ว ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วเสด็จไปประทับนั่งบนพุทธอาสนะนั้น ทรงหลีกเร้นอยู่ครู่หนึ่งแต่ลําพังพระองค์เดียว

ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันมาจากที่นั้นๆ แล้วมาสู่ที่ปรนนิบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้น ภิกษุบางพวกก็ทูลถามปัญหา บางพวกก็ทูลขอกรรมฐาน บางพวกก็ทูลขอฟังธรรม

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยับยั้งตลอดยามต้น ทรงให้ความประสงค์ของภิกษุเหล่านั้นสําเร็จ นี้เป็นกิจในปฐมยาม

ก็เมื่อสิ้นสุดกิจในปฐมยาม ภิกษุทั้งหลายถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วหลีกไปเหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้น เมื่อได้โอกาสก็พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่างทูลถามปัญหาตามที่เตรียมมา โดยที่สุดแม้อักขระ ๔ ตัว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบปัญหาแก่เทวดาเหล่านั้น ให้มัชฌิมยามผ่านไป นี้เป็นกิจในมัชฌิมยาม

ส่วนปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสด็จจงกรมส่วนหนึ่ง เพื่อทรงเปลื้องจากความเมื่อยล้าแห่งพระสรีระ อันถูกอิริยาบถนั่งตั้งแต่ก่อนอาหารบีบคั้นแล้ว

ในส่วนที่สอง เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สําเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา

ในส่วนที่สาม เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งแล้วทรงใช้พุทธจักษุตรวจดูสัตว์โลก เพื่อเล็งเห็นบุคคลผู้สร้างสมบุญญาธิการไว้ ด้วยอํานาจทานและศีล เป็นต้น ในสํานักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นี่เป็นกิจในปัจฉิมยาม



ความคิดเห็น 2    โดย Buppha  วันที่ 24 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 24 เม.ย. 2550

พุทธกิจ ๕ ข้อ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำทุกวัน

1. เวลาเช้า เสด็จบิณฑบาต

2. เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม

3. เวลาค่ำ ประทานโอวาทกับภิกษุ

4. เวลาเที่ยงคืน ตอบปัญหาธรรมกับเทวดา

5. เวลาจวนสว่าง ทรงพิจารณาสัตว์ที่สามารถจะบรรลุที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด


ความคิดเห็น 4    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 25 เม.ย. 2550

เรื่อง พุทธกิจของพระองค์ก็เพื่อช่วยสัตว์โลกเป็นสำคัญ

ลองอ่านดูนะ จะซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณของพระองค์
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 1104

ผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่า โลกสันนิวาสถูกทิฏฐิ ๖๒ กลุ้มรุม จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปให้หมู่สัตว์ว่า ก็เราแลเป็นผู้ข้ามได้แล้ว แต่สัตว์โลกยังข้ามไม่ได้ เราเป็นผู้พ้นไปแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่พ้นไป เราทรมานได้แล้ว แต่สัตว์โลกยังทรมานไม่ได้ เราสงบแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่สงบ เราเป็นผู้เบาใจแล้ว แต่สัตว์โลกยัง ไม่เบาใจ เราเป็นผู้ดับรอบแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่ดับรอบ ก็เราเป็นผู้ข้ามได้แล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกข้ามได้ด้วย เราเป็นผู้พ้นไปแล้วจะช่วยให้สัตว์โลกพ้นไปด้วย เราทรมานได้แล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกทรมานได้ด้วย เราเป็นผู้สงบแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกสงบด้วย เราเป็นผู้เบาใจแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกเบาใจด้วย เราเป็นผู้ดับรอบแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกดับรอบด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้แล้วทรงพิจารณาเห็นดังนี้ จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปในหมู่สัตว์ นี้เป็นมหากรุณาสมาปัตติญาณของพระตถาคต.

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


ความคิดเห็น 5    โดย อิสระ  วันที่ 25 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 6    โดย olive  วันที่ 26 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 7    โดย pamali  วันที่ 29 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย PornchaiSe  วันที่ 15 เม.ย. 2557

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ สํฆํ สรณํ คจฺฉามิ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 14 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ