[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 711
ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘
๑. ปฐมนิพพานสูตร
ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 711
ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘
๑. ปฐมนิพพานสูตร
ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
[๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 712
ปาฏลิคามิยวรรควรรณนาที่ ๘
อรรถกถาปฐมนิพพานสูตร
ปาฏลิคามิยวรรค ปฐมนิพพานสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นิพฺพานปฏิสํยุตฺตาย ความว่า อสังขตธาตุที่อาศัยอมตธาตุ เป็นไปด้วยอำนาจการประกาศให้รู้.
บทว่า ธมฺมิยา กถาย แปลว่า ด้วยธรรมเทศนา.
บทว่า สนฺทสฺเสติ ได้แก่ แสดงถึงพระนิพพาน โดยลักษณะแห่งสภาวะพร้อมด้วยกิจ.
บทว่า สมาทเปติ ได้แก่ ให้ภิกษุเหล่านั้นยึดถือเอาอรรถนั้นนั่นแล.
บทว่า สมุตฺเตเชติ ได้แก่ เมื่อให้อุตสาหะเกิดในกาลยึดถือประโยชน์นั้น ชื่อว่าย่อมให้อบอุ่น คือ ให้โชติช่วง.
บทว่า สมฺปหํเสติ ได้แก่ ย่อมให้ยินดีด้วยคุณ คือ พระนิพพาน โดยชอบทีเดียว คือ โดยประการทั้งปวง. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า สนฺทสฺเสติ ความว่า ทรงแสดงโดยชอบอันเหมาะสมแก่อัธยาศัยของภิกษุเหล่านั้นๆ โดยประการทั้งปวง คือ โดยปริยายนั้นๆ โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่คลายราคะ เป็นที่ดับ อันเป็นเครื่องสงบสังขารทั้งปวง อันเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวงนั้น.
บทว่า สมาทเปติ ความว่า ทรงกระทำ ให้ภิกษุทั้งหลายน้อมไป โอนไป เงื้อมไปในธรรมนั้น พร้อมด้วยปฏิปทาเครื่องบรรลุ ชื่อว่าทรงชักชวน คือ ให้ภิกษุถือเอาโดยชอบว่า เธอพึงบรรลุพระนิพพานนั้น ด้วยอริยมรรคนี้.
บทว่า สมุตฺเตเชติ ความว่า ทรงทำภิกษุเหล่านั้นให้อาจหาญในการบรรลุพระนิพพาน หรือให้ทำจิตให้ผ่องแผ้วในพระนิพพานนั้น ด้วยพระดำรัสว่า พวกเธออย่าถึงความประมาท คือ ถึงความหยุดเสียในระหว่าง ในสัมมาปฏิบัติว่า พระนิพพานนี้ทำได้ยาก มีความยินดีได้ยาก เพราะพระนิพพานนี้ อันผู้สมบูรณ์ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 713
อุปนิสัย มีความเพียร มิใช่ทำได้ยาก เพราะฉะนั้น พวกเธอพึงลุกขึ้น พยายามเพื่อปฏิปทาอันหมดจด มีสีลวิสุทธิเป็นต้น.
บทว่า สมฺปหํเสติ ความว่า เมื่อทรงทำจิตของภิกษุเหล่านั้นให้ยินดี ให้ร่าเริง ด้วยการประกาศอานิสงส์แห่งพระนิพพาน โดยนัยมีอาทิว่า นี้ธรรมเป็นที่สร้างเมา เป็นที่กำจัดความกระหาย เป็นที่ถอนความอาลัย และโดยนัยมีอาทิว่า ธรรมนี้เป็นที่สิ้นราคะ โทสะ โมหะ และว่า นี้เป็นอสังขตธรรม และว่า อมตธรรม สันติธรรม ดังนี้ ชื่อว่ายังภิกษุให้ร่าเริง ให้เบาใจ.
บทว่า เต จ ภิกฺขู อฏฺิกตฺวา ความว่า ภิกษุทั้งหลาย กำหนดอย่างนี้ว่า สิ่งอะไรๆ มีอยู่ ประโยชน์นี้พวกเราควรบรรลุแล้ว เป็นผู้มีความต้องการด้วยเทศนานั้น.
บทว่า มนสิกตฺวา ความว่า วางไว้ในจิต ไม่ส่งจิตไปในที่อื่น คือ กระทำเทศนานั้นให้อยู่ในจิตของตนเท่านั้น.
บทว่า สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา ความว่า นึกถึงเทศนาด้วยใจ อันเป็นตัวนำทั้งปวง ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด คือ ทำความคำนึงให้อยู่ในเทศนานั้นนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา ความว่า นำมาเนืองๆ โดยชอบซึ่งเทศนา จากจิตทั้งหมด. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า เมื่อผู้แสดงทำเทศนาด้วยจิตใด ไม่ให้เทศนาที่เป็นไปจากจิตทั้งปวงออกไปภายนอก แล้วนำมาโดยเนืองๆ โดยชอบ คือ ไม่ผิดแผก แล้วนำจิตสันดานของตนมาทรงไว้ด้วยดีซึ่งเทศนาตามที่แสดงแล้วๆ.
บทว่า โอหิตโสตา ได้แก่ เงี่ยโสตลงสดับ คือ ตั้งโสตไว้ด้วยดี. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า โอหิตโสตา ได้แก่ มีโสตประสาทอันอะไรๆ ไม่รบกวน. จริงอยู่ บุคคลแม้เมื่อได้โสตประสาทที่ไม่มีอะไรรบกวนนั้นนั่นแล จึงไม่ฟุ้งซ่านไปในการฟัง เหมือนสติสังวร ควรจะกล่าวได้ว่า ในจักขุนทรีย์เป็นต้นบ้าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 714
ในโสตินทรีย์บ้าง. ก็ในที่นี้ ด้วยบททั้ง ๔ มีบทว่า อฏฺิกตฺวา เป็นต้น ทรงแสดงถึงการที่ภิกษุเหล่านั้น ฟังโดยเคารพ โดยแสดงการเอื้อเฟื้อในการฟัง โดยไม่เป็นอื่นไปจากนั้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ซึ่งภาวะที่ภิกษุเหล่านั้น มีการกระทำเอื้อเฟื้อในการฟังธรรมกถา อันเกี่ยวด้วยพระนิพพานนั้น.
บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศภาวะที่พระนิพพานมีอยู่โดยปรมัตถ์ โดยมุขคือพระธรรมเทศนาที่ผิดตรงกันข้ามจากธรรมนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ แปลว่า มีอยู่ อธิบายว่า เกิด โดยปรมัตถ์.
บทว่า ภิกฺขเว เป็นคำเรียกภิกษุเหล่านั้น.
ถามว่า ก็การเปล่งอันยังปีติและโสมนัสให้ตั้งขึ้นก็ดี อันยังธรรมสังเวชให้ตั้งขึ้นก็ดี ไม่มุ่งถึงคนรับธรรม ชื่อว่าอุทาน และอุทานนั้นมาในสูตรมีประมาณเท่านี้เช่นนั้นเหมือนกันมิใช่หรือ แต่เพราะเหตุไร ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเปล่งอุทาน จึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น?
ตอบว่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นอันเกี่ยวด้วยพระนิพพานเพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าใจ ก็ทรงเกิดปีติโสมนัสขึ้น ด้วยหวนระลึกถึงคุณของพระนิพพาน จึงทรงเปล่งอุทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุเหล่านั้นว่า สภาวธรรมทั้งหมดในพระศาสนานี้ เว้นพระนิพพานที่เป็นไปเนื่องกับปัจจัยเท่านั้นเกิดขึ้นได้ ที่ปราศจากปัจจัยหาเกิดขึ้นไม่ แต่นิพพานธรรมนี้เกิดในปัจจัยไหน และมีพระประสงค์จะให้พระภิกษุเหล่านั้นเข้าใจ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ภิกฺขเว ตทายตนํ ดังนี้. พึงทราบว่า ไม่ใช่กระทำให้ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้รับโดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 715
ส่วนเดียวเท่านั้น.
บทว่า ตทายตนํ ได้แก่ เหตุนั้น. ท อักษร ทำการเชื่อมบท.
จริงอยู่ พระนิพพานท่านเรียกว่า อายตนะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยแก่มรรคญาณและผลญาณเป็นต้น เหมือนรูปารมณ์เป็นต้น เป็นอารัมมณปัจจัยแก่จักขุวิญญาณเป็นต้น. ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศถึงสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์แก่ภิกษุเหล่านั้น.
ในข้อนั้น มีนัยแห่งธรรมดังต่อไปนี้ เพราะสังขตธรรมมีอยู่ แม้อสังขตธาตุก็มี เพราะมีความเป็นคู่ปรับต่อสภาวธรรม เหมือนอย่างว่า เมื่อทุกข์มีอยู่ แม้สุขที่เป็นคู่ปรับกับทุกข์นั้นก็มีอยู่เหมือนกัน ฉันใด เมื่อความร้อนมีอยู่ แม้ความหนาวก็มีอยู่ เมื่อบาปธรรมมีอยู่ แม้กัลยาณธรรมก็มีอยู่เหมือนกัน. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อทุกข์มี ชื่อว่าสุขก็มี ฉันใด เมื่อภพมี วิภพ สภาวะที่ปราศจากภพ ก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น เมื่อความร้อนมี ความเย็นก็มี แม้ฉันใด เมื่อไฟ ๓ กองมี พระนิพพานก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น เมื่อบาปธรรมมี กัลยาณธรรมก็มี ฉันใด เมื่อความเกิดมี ความไม่เกิดก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง การไขความถึงพระนิพพานว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ จักมีแจ้งข้างหน้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์โดยพร้อมมูลด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงสภาวะที่พระนิพพานนั้นมีอยู่โดยมุข คือ ความผ่องแผ้วแห่งธรรมที่ผิดตรงกันข้ามจากอสังขตธาตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 716
จึงตรัสคำว่า ยตฺถ เนว ปวี น อาโป ดังนี้ เป็นต้น.
ในข้อนั้น เพราะเหตุที่พระนิพพานมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากสังขารทั้งปวง ไม่มีในบรรดาสังขตธรรมไหนๆ ฉันใด แม้ในพระนิพพานนั้นก็ไม่มีสังขตธรรมทั้งหมดฉันนั้น เพราะสังขตธรรมและอสังขตธรรมรวมกันไม่ได้. ในข้อนั้น มีการทำอธิบายอรรถดังต่อไปนี้ ปฐวีธาตุมีความแข้นแข็งเป็นลักษณะ อาโปธาตุมีการไหลไปเป็นลักษณะ เตโชธาตุมีความอบอุ่นเป็นลักษณะ วาโยธาตุมีการเคลื่อนไหวเป็นลักษณะ ไม่มีในพระนิพพานใด คือ อสังขตธาตุใด ดังนั้น ในธาตุเหล่านั้น เมื่อว่าโดยความไม่มีแห่งมหาภูตรูป ๔ ก็เป็นอันกล่าวถึงความไม่มีแห่งอุปาทายรูปแม้ทั้งหมด เพราะอาศัยมหาภูตรูปนั้นฉันใด กามภพและรูปภพก็ฉันนั้น เป็นอันกล่าวว่าไม่มีในพระนิพพานนั้นโดยสิ้นเชิง เพราะมีความเป็นไปไม่เนื่องกับพระนิพพานนั้น เพราะปัญจโวการภพ หรือเอกโวการภพ เว้นจากการอาศัยมหาภูตรูปแล้วก็มีไม่ได้แล.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมที่นับเนื่องในอรูปภพไม่มีในพระนิพพานนั้น แม้ในเมื่อพระนิพพานมีสภาวะเป็นอรูป (เป็นนาม) จึงตรัสคำมีอาทิว่า น อากาสานญฺจายตนํ ฯเปฯ น แนวสญฺานาสญฺายตนํ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น อากาสานญฺจายตนํ ความว่า จิตตุปบาท กล่าวคือ อากาสานัญจายตนะ ทั้ง ๓ อย่าง ต่างโดยกุศลจิต วิปากจิต และกิริยาจิต พร้อมทั้งอารมณ์ย่อมไม่มี. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 717
ก็กามโลกไม่มีในพระนิพพานด้วยอารมณ์ใด แม้อิธโลก และปรโลก ก็ไม่มีในพระนิพพานนั้นด้วยอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี ดังนี้เป็นต้น.
คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ขันธโลกนี้ใดอันได้โวหารว่า ความเป็นอย่างนี้ ปัจจุบันธรรม และว่าโลกนี้ และขันธโลกอันได้โวหารว่า โลกอื่นจากโลกนั้น ปรโลก และอภิสัมปรายภพใด ทั้งสองนั้น ไม่มีในที่ใด.
บทว่า น อุโภ จนฺทิมสุริยา ความว่า เพราะเหตุที่เมื่อรูปมี ชื่อว่าความมืดก็พึงมี และเพื่อกำจัดความมืด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็หมุนเวียนไป แต่รูปโดยประการทั้งปวงไม่มีในที่ใด ความมืดในที่นั้นจักมีในที่ไหน. อีกอย่างหนึ่ง การกำจัดความมืดก็คือพระจันทร์และพระอาทิตย์ ฉะนั้น พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในพระนิพพานใด. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงพระนิพพานมีความสว่างไสวเป็นสภาวะนั่นแล.
ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ พระธรรมราชาเมื่อจะทรงประกาศอมตนิพพานอันไม่เคยมีไนสงสารซึ่งหาเบื้องต้นรู้ไม่ได้ แม้ที่สุดด้วยความฝัน อันลึกโดยปรมัตถ์ เห็นได้ยากอย่างยิ่ง ละเอียดสุขุม นึกเอาเองไม่ได้ สงบที่สุด เป็นที่อำนวยผลเฉพาะตน ประณีตยิ่งนัก แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ยังไม่ได้บรรลุ จึงให้ภิกษุเหล่านั้นขจัดความโง่เป็นต้นออกเสีย เพราะพระนิพพานนั้นมีอยู่ก่อนทีเดียว ดังบาลีว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ดังนี้เป็นต้น จึงทรงประกาศพระนิพพานนั้นโดยมุข คือ ความไม่งมงายในธรรมอื่นจากพระนิพพานนั้นว่า ยตฺถ เนว ปวี ฯเปฯ น อุโภ จนฺทิมสุริยา ดังนี้เป็นต้น. ด้วยคำนั้น เป็นอันแสดงว่า อสังขตธาตุ อันมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากสังขตธรรมทั้งปวงมีปฐวีเป็นต้นว่า พระนิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 718
ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า ตตฺรปาหํ ภิกฺขเว เนว อาคตึ วทามิ ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺร แปลว่า ในนิพพานนั้น. อปิ ศัพท์ ใช้ในอรรถสมุจจัย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการมาของอะไรๆ จากที่ไหนๆ ที่เป็นไปตามสังขาร เพราะเหตุสักว่าธรรมเกิดในพระนิพพานนั้นตามปัจจัย อนึ่ง เราไม่กล่าวอาคติ คือ การมาแต่ที่ไหนๆ ในอายตนะคือพระนิพพานนั้นอย่างนี้ เพราะพระนิพพานไม่มีฐานะที่จะพึงมา.
บทว่า น คตึ ความว่า เราไม่กล่าวการไปในที่ไหนๆ เพราะฐานะที่พระนิพพานจะพึงถึงไม่มี. เพราะการมาและการไปของสัตว์ทั้งหลาย เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ ไม่มีในพระนิพพานนั้น. อนึ่ง เราไม่กล่าวถึงฐิติ จุติ และอุปบัติ. บาลีว่า ตทปหํ ดังนี้ก็มี. ความของพระบาลีนั้นมีดังนี้ อายตนะแม้นั้น ชื่อว่าไม่มีการมา เพราะเป็นฐานะที่ไม่ควรมา เหมือนจากละแวกบ้านมาสู่ละแวกบ้าน. ชื่อว่าไม่มีการไป เพราะไม่เป็นฐานะที่จะควรไป ชื่อว่าไม่มีฐิติ เพราะไม่มีฐานะที่จะตั้งอยู่ เหมือนแผ่นดินและภูเขาเป็นต้น. อนึ่ง ชื่อว่าไม่มีการเกิด เพราะไม่มีปัจจัย ชื่อว่าไม่มีจุติ เพราะไม่มีการตายเป็นสภาวะนั้น. เราไม่กล่าวฐิติ จุติ และอุปบัติ เพราะไม่มีการเกิดและการดับ และเพราะไม่มีการตั้งอยู่ที่กำหนดด้วยการเกิดและการดับทั้ง ๒ นั้น. อนึ่ง พระนิพพานนั้นล้วนชื่อว่าไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ เพราะมีสภาวะเป็นอรูป และเพราะไม่มีปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีที่ตั้ง ชื่อว่า ไม่เป็นไป เพราะไม่มีความเป็นไปพร้อม และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นไปในพระนิพพานนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 719
ชื่อว่า ไม่มีอารมณ์ เพราะไม่มีอารมณ์อะไรๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพราะไม่มุ่งถึงอารมณ์ที่อุปถัมภ์ เหมือนสัมปยุตธรรมมีเวทนาเป็นต้น แม้ที่มีสภาวะเป็นอรูป (เป็นนาม) ฉะนั้น พระนิพพานนั้นท่านจึงกล่าวว่า อายตนะ. ก็ เอว ศัพท์นี้ พึงประกอบด้วยบททั้งสอง คือ อปฺปติฏฺเมว อปฺปวตฺตเมว.
บทว่า เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความว่า พระนิพพานซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญชมเชยด้วยคำมีอาทิว่า อปฺปติฏฺํ ดังนี้นั่นแหละ ชื่อว่าเป็นที่สุด คือ เป็นที่สิ้นสุดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีการบรรลุพระนิพพาน ทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มี เพราะเหตุฉะนั้น จึงทรงแสดงว่า พระนิพพานนั้น มีสภาวะเป็นดังนี้ว่า เป็นที่สุดแห่งทุกข์นั่นแล.
จบอรรถกถาปฐมนิพพานสูตรที่ ๑