เมตตคูปัญหาที่ ๔ ว่าด้วยข้ามชาติและชรา
โดย บ้านธัมมะ  14 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40228

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 905

สุตตนิบาต

ปารายนวรรคที่ ๕

เมตตคูปัญหาที่ ๔

ว่าด้วยข้ามชาติและชรา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 905

เมตตคูปัญหาที่ ๔

ว่าด้วยข้ามชาติและชรา

[๔๒๘] เมตตคูมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์จงตรัส บอกข้อความนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ย่อมสำคัญพระองค์ว่าทรงถึงเวท มีตนอันอบรมแล้ว ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในโลกเป็นอันมาก มีมาแล้วแต่อะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนเมตตคู

ท่านได้ถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกเหตุนั้นแก่ท่านตามที่รู้ ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้ แจ้งย่อมกระทำอุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลมารู้ชัด เห็นชาติว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่พึงกระทำอุปธิ.

ม. ข้าพระองค์ ได้ทูลถามความข้อใด พระองค์ก็ทรงแสดงความข้อนั้นแก่


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 906

ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอทูลถามความข้ออื่นอีก ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกความข้อนั้นเถิด นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมข้ามโอฆะ ชาติ ชรา โสกะและปริเทวะได้อย่างไรหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์ธรรมอันเป็นเครื่องข้ามโอฆะให้สำเร็จประโยชน์ แก่ข้าพระองค์เถิด เพราะว่าธรรมนี้ พระองค์ทรงทราบชัดแล้วด้วย ประการนั้น.

พ. ดูก่อนเมตตคู เราจักแสดงธรรมแก่ท่านในธรรมที่เราได้เห็นแล้ว เป็นธรรมประจักษ์แก่ตน ที่บุคคลทราบชัดแล้ว พึงเป็นผู้มีสติ ดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้.

ม. ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ก็ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่ง ซึ่งธรรมอันสูงสุดที่บุคคลทราบชัดแล้ว เป็นผู้มีสติ พึงดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ ต่างๆ ในโลกเสียได้.

พ. ดูก่อนเมตตคู ท่านรู้ชัดซึ่งส่วน อย่างใดอย่างหนึ่งในส่วนเบื้องบน ในส่วน


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 907

เบื้องต่ำ และแม้ในส่วนเบื้องขวางคือท่ามกลาง จงบรรเทาความเพลิดเพลินและความยึดมั่นและวิญญาณในส่วนเหล่านั้นเสีย จะไม่พึงตั้งอยู่ในภพ.

ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท ได้รู้แจ้งแล้วเที่ยวไปอยู่ ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้ว พึงละทุกข์ คือ ชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะในอัตภาพนี้เสีย.

ม. ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่งซึ่งพระวาจานี้ของพระองค์ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคตมโคตร ธรรมอันไม่มีอุปธิ พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์ทรงละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าธรรมนี้พระองค์ทรงรู้แจ้งชัดแล้วด้วยประการนั้น.

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี พระองค์พึงทรงสั่งสอนชนเหล่าใดไม่หยุดยั้ง แม้ชนเหล่านั้นก็พึงละทุกข์ได้เป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึง ได้มาถวายบังคมพระองค์ ด้วยคิดว่า แม้ไฉน


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 908

พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงทรงสั่งสอนข้าพระองค์ไม่หยุดหย่อนเถิด.

พ. ท่านพึงรู้ ผู้ใดว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ถึงเวท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ ผู้นั้นแลข้ามโอฆะนี้ได้แน่แล้ว ผู้นั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้ไม่มีตะปู คือ กิเลส ไม่มีความสงสัย นรชนนั้นรู้แจ้งแล้วแล เป็นผู้ถึงเวทในศาสนานี้ สละธรรมเป็น ครื่องข้องนี้ในภพน้อยและภพใหญ่เสียได้แล้ว เป็นผู้มีตัณหาปราศไปแล้ว ไม่มีกิเลสอันกระทบจิต หาความหวังมิได้ เรากล่าวว่า ผู้นั้นข้ามชาติและชราได้แล้ว.

จบเมตตคูมาณวกปัญหาที่ ๔

อรรถกถาเมตตคูสูตร (๑) ที่ ๔

เมตตคูสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ปุจฺฉามิ ตํ ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มญฺามิ ตํ เวทคุํ ภาวิตตฺตํ เมตตคูมาณพ ทูลว่า ข้าพระองค์สำคัญพระองค์ว่าเป็นผู้ถึงเวทมีตนอบรมแล้ว คือ ข้าพระองค์


๑. บาลีว่า เมตตคูปัญหา.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 909

สำคัญพระองค์อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้เป็นผู้ถึงเวทและเป็นผู้มีตนอบรมแล้ว ดังนี้. ก็ อักษรในคำนี้ อุปจฺฉสิ เป็นเพียงนิบาตทำบทให้เต็ม บทว่า ตนฺเต ปวกฺขามิ ยถา ปชานํ คือ เราจะบอกเหตุนั้นแก่ท่านตามที่รู้. บทว่า อุปธีนิทานา ปภวนฺติ ทุกฺขา ทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิด เพราะอุปธิเป็นเหตุ คือ ความต่างแห่งทุกข์มีชาติเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้น เพราะอุปธิมีตัณหาเป็นต้นเป็นเหตุ. เมื่อทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้น มีอุปธิเป็นเหตุอย่างนี้ พึงทราบคาถาต่อไปว่า โย เจ อวิทฺวา ผู้ใดไม่รู้แจ้ง ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปชานํ รู้อยู่ คือ รู้สังขารทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า ทุกฺขสฺส ชาติปฺปภวานุปสฺสี เห็นชาติว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ คือ พิจารณาเนืองๆ ว่า อุปธิเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ในวัฏฏะ. บทว่า โสกปริทฺทวญฺจ คือ ความโศกและความคร่ำครวญ. บทว่า ตถา หิ เต วิทิโต เอส ธมฺโม ธรรมนี้พระองค์ทรงทราบชัด แล้วด้วยประการนั้น คือ ธรรมนี้พระองค์ทรงทราบชัดแล้วด้วยกำลังพระญาณเป็นต้นโดยที่สัตว์ทั้งหลายไม่รู้เลย.

บทว่า กิตฺติยิสฺสามิ เต ธมฺมํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน คือ เราจักแสดงธรรมคือนิพพานและปฏิปทาให้ถึงนิพพานแก่ท่าน. บทว่า ทิฏฺเ ธมฺเม ในธรรมที่เราได้เห็นแล้ว คือ ในธรรมมีทุกข์เป็นต้น ที่เราได้เห็นแล้วหรือในอัตภาพนี้แล. บทว่า อนีติหํ ที่เราได้เห็นแล้ว คือ ประจักษ์แก่ตน. บทว่า ยํ วิทิตฺวา รู้ชัดธรรมใดแล้ว คือ พิจารณาโดยนัยมีอาทิว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงดังนี้ ชื่อว่ารู้ชัดธรรมใดแล้ว.

บทว่า ตญฺจาหํ อภินนฺทามิ ข้าพระองค์ยินดีอย่างยิ่งซึ่งธรรมอันสูงสุดนั้น คือ เมตตคูมาณพทูลว่า ข้าพระองค์ปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งธรรมมีประการ


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 910

ดังที่พระองค์ตรัสนั้น หรือถ้อยคำของพระองค์อันส่องถึงธรรมที่พระองค์ตรัสเเล้ว. บทว่า ธมฺมมุตฺตมํ ธรรมอันสูงสุด คือ ข้าพระองค์ยินดียิ่งซึ่งธรรมอันสูงสุดของพระองค์.

ในคำนี้ว่า อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจาปิ มชฺเฌ ในส่วนเบื้องบน ในส่วนเบื้องต่ำ และแม้ในส่วนเบื้องขวางสถานกลาง คือ อนาคตอัทธาท่าน กล่าวว่าเป็นส่วนเบื้องบน อดีตอัทธาท่านกล่าวว่าเป็นส่วนเบื้องต่ำ ปัจจุบันอัทธาท่านกล่าวว่าเป็นส่วนเบื้องขวางคือท่ามกลาง. บทว่า เอเตสุ นนฺทิญฺจ นิเวสนญฺจ ปนุชฺช วิญฺาณํ จงบรรเทาความเพลิดเพลินและความยึดมั่นในส่วนเหล่านั้นเสีย วิญญาณจะไม่พึงตั้งอยู่ในภพ ความว่า ท่านจงบรรเทาตัณหา, ความยึดมั่นคือทิฏฐิและอภิสังขารวิญาณในอัทธาเป็นต้นเหล่านั้นเสีย ครั้นบรรเทาแล้วไม่พึงตั้งอยู่ในภพ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่พึงตั้งอยู่ในภพแม้ทั้งสองอย่าง. พึงทราบการเชื่อมความในการกำหนดความนี้แห่ง ปนุชฺช ศัพท์ ว่า ปนุเทหิ แปลว่า ท่านจงบรรเทา. พึงทราบการเชื่อมความนี้ เหมือนกันว่า ไม่พึงตั้งอยู่ในภพในการกำหนดความนี้ว่า ปนุทิตฺวา ครั้น บรรเทาแล้ว. ท่านอธิบายว่า ภิกษุครั้นบรรเทาความเพลิดเพลินความยึดมั่น และวิญญาณเหล่านี้แล้วจะไม่พึงตั้งอยู่ในภพแม้สองอย่าง. ครั้นบรรเทาอย่างนี้ แล้วเมื่อไม่ตั้งอยู่ในภพ พึงทราบคาถาต่อไปว่า เอวํวิหารี ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิเธว ได้แก่ ในศาสนานี้หรือในอัตภาพนี้. บทว่า อนูปธิกํ ธรรมไม่มีอุปธิ ในบทนี้ว่า สุกิตฺติตํ โคตม อนูปธิกํ ได้แก่ นิพพาน. เมตตคูมาณพหมายถึงธรรมนั้น เมื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทูลว่า สุกิตฺติตํ โคตมนูปธิกํ ข้าแต่พระโคดม ธรรมอันไม่มีอุปธิ


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 911

พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว. มิใช่ทรงละทุกข์ได้อย่างเดียวเท่านั้น. พึงทราบคาถาต่อไปว่า เต จาปิ แม้ชนเหล่านั้นก็พึงละทุกข์ได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺิตํ ไม่หยุดยั้ง คือ เคารพหรือเอื้อเฟื้อ. บทว่า ตํ ตํ นมสฺสามิ คือ เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงขอนอบน้อมพระองค์. บทว่า สเมจฺจ คือเข้าไปใกล้. เมตตคูมาณพเมื่อจะทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลว่า นาค ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้อันพราหมณ์นั้นรู้ชัดแล้วอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละทุกข์ได้แล้วแน่นอน ดังนี้ ก็ไม่ทรงยังพราหมณ์ให้น้อมไปสู่พระองค์ เมื่อจะทรงสอนพราหมณ์นั้นแบบบุคคลผู้ละทุกข์ได้แล้ว จึงตรัสคาถาว่า ยํ พฺราหฺมณํ ดังนี้เป็นต้น.

บทนั้นมีความดังนี้ ท่านพึงรู้ผู้ใดว่า ผู้นี้เป็นพราหมณ์เพราะเป็นผู้ลอยบาปได้แล้ว เป็นผู้ถึงเวทเพราะเป็นผู้ไปด้วยเวททั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลเพราะไม่มีความกังวล เป็นผู้ไม่ข้องในกามภพเพราะไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย และในภพทั้งหลาย. ผู้นั้นข้ามโอฆะนี้และข้ามบาปได้แน่แล้ว ไม่มีตะปูคือกิเลส ไม่มีความสงสัย. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น พึงทราบคาถาต่อไปว่า วิทฺวา โส นรชนนั้นรู้ชัดแล้ว ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิธ คือในศาสนานี้หรือในอัตภาพนี้. บทว่า วิสชฺช แปลว่า สละแล้ว. บทที่เหลือในที่ทั้งปวงชัดอยู่แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตเหมือนกัน.

อนึ่ง เมื่อจบเทศนาได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นกับที่ได้กล่าวแล้วนั้นแล.

จบอรรถกถาเมตตคูสูตรที่ ๔ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย

ชื่อปรมัตถโชติกา