กราบเรียนถามด้วยความเคารพ การฟังธรรมถือเป็นการปฏิบัติธรรมใช่หรือไม่แล้วปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมคือปัญญาตัวเดียวกับทึ่เกิดจากการปฏิบัติธรรมหรือเปล่าครับ การปฏิบัติธรรมตามความคิดเห็นของข้าพเจ้าคือการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานถูกต้องหรือไม่ครับ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เคยทำสำเร็จ เคยฟังพระท่านบอกว่าการฟังธรรมถ้าไม่นำไปปฏิบัติก็เหมือนอ่านฉลากยาข้างขวดโดยไม่เปิดขวดกินยาเลยโรคก็รักษาไม่หาย (โรคหมายถึงกิเลส) ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ถ้าการฟังธรรมแล้วเกิดปัญญาได้จริงๆ ต่อไปก็ฟังธรรมอย่างเดียวไม่ต้องนั่งสมาธิก็เกิดปัญญาตัดกิเลสได้ง่ายกว่ากันเยอะจริงไหมครับ ด้วยความเคารพ..
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๕๒ แสดงถึงจุดประสงค์ของการเรียนพระปริยัติอย่างถูกต้อง ดังนี้ คือ
"ปริยัติอันบุคคลเรียนดีแล้ว คือ จำนงอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณ มีสีลขันธ์เป็นต้นนั่นแล เรียนแล้ว ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้งเป็นต้น ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนานแก่กุลบุตรเหล่านั้น ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว"
สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า “ปฏิบัติธรรม” ปรากฏในคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติผิด ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจขึ้นของปัญญา ในขณะที่ปฏิบัติผิดนั้น ก็เพิ่มพูนโลภะความติดข้องต้องการ และความเห็นผิด ให้เพิ่มขึ้น แท้ที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม เป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ คือ รู้นามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการศึกษาให้เข้าใจในสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมโดยประเภทต่างๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สติและปัญญา เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง โดยที่ไม่เลือกสถานที่ กาลเวลา และไม่มีการเจาะจงที่จะรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ มั่นคงในความเป็นจริงของธรรม เป็นความเข้าใจในพระปริยัติ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะเป็นเหตุนำไปสู่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และผลสูงสุดของการอบรมเจริญปัญญา คือ การประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสตามลำดับขั้น (ปฏิเวธ) ปฏิเวธจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ปัญญามีหลายระดับขั้น ปัญญาขั้นฟัง ไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะไม่ไปทำอะไรที่ผิดที่ไม่ใช่หนทางที่จะทำใหความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้น แม้ว่าจะใช้คำต่างๆ มากมาย เช่นคำว่า สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น ถ้าไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็คือ ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามความเป็นจริง
กาลสมัยนี้ ยังเป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร เผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมากได้ จะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ.
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
สมถะ และ วิปัสสนา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
กรรมฐาน
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาครับ..
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ