[เล่มที่ 76] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 201
[๕๒๑] รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน
รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยมแปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆหมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่ สัตว์นี้ เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็น ซึ่งรูปใด อันเป็นสิ่งที่เห็นได้แล้วกระทบได้ด้วยจักขุ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.
อ.ธนากร: เมื่อวานก็ได้สนทนาความเป็นไปของธรรมที่เมื่อเกิดขึ้น ต้องเกิดตามความเป็นไปของธรรมนั้นๆ ได้มีการสนทนาธรรมในเรื่องนี้โดยนัยยะต่างๆ ครับ มีคำถามหนึ่งครับที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่า ในการสนทนาแต่ละครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะมีการกล่าวถึงความลึกซึ้งของธรรม โดยนัยยะต่างๆ ครับ อยากจะทราบว่า ท่านอาจารย์เห็นว่า พวกเราสนทนาธรรมแล้ว อะไรเป็นสิ่งที่ขาดที่ควรจะพิจารณาไตร่ตรองครับในความลึกซึ้งของพระธรรม ไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะว่า เหมือนจะมีคำมากมายที่สามารถกล่าวได้ แต่ว่าความลึกซึ้งของพระธรรมก็มีมาก และท่านอาจารย์เห็นว่า อะไรเป็นสิ่งที่พวกเราขาดที่ท่านอาจารย์อยากที่จะเพิ่มเติมให้พวกเราได้ตระหนัก แล้วก็พิจารณาไตรตรอ งครับ
ท่านอาจารย์: ก็ขาดการพิจารณาความละเอียดด้วยตัวเอง ความหวัง ร้ายแค่ไหน? จมลึกแค่ไหน? กว่าจะโผล่ออกมาให้เห็นว่า แม้ขณะนี้หวังอะไรหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น การที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงของพระธรรม ก็คือเดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรใช่ไหม? เห็นไหม ปานนี้? แล้วก็จะหวังโน่นหวังนี่ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย นอกจากเห็นความลึกซึ้งแล้วไม่ประมาท
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แค่นี้ ... ไปถึงไหน โน่นก็ขวดน้ำ นี่ก็ถ้วยแก้ว นั่นก็น้ำตาล แล้วไหนล่ะ ธรรม?
ตั้งแต่ต้น ก็คือว่า ขาดอะไรใช่ไหม?
อ.ธนากร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: ขาดการที่จะไตร่ตรองด้วยตัวเอง จริงไหม?
อ.ธนากร: จริงครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ความซ่อนเร้นของโลภะ นี่ยากที่จะรู้ได้ว่า ลึกแค่ไหน เพียงแต่คิดที่จะขอคำอธิบายจากคนอื่น โลภะหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องหวังอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้ารู้ และเข้าใจธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นจึงเกิดขึ้นเป็นไป แม้แต่ คิด ว่า จะขอคำแนะนำเกิดแล้ว แต่ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไตร่ตรองเห็นความลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น เดี๋ยวนี้จะขอคำแนะนำอะไร จากใคร
สิ่งที่ปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงมีจริงแน่นอน เพราะปรากฏให้รู้ว่า มีจริงแต่ละหนึ่งละเอียด และหลากหลายมาก นี่ต้องไตร่ตรองแล้วใช่ไหม?
สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ต้องไตร่ตรองว่า ปรากฏเป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นหน้าต่าง เป็นแก้วน้ำ เป็นขวดน้ำ ไหนล่ะธรรม?
การสนทนาทำให้สามารถที่จะค่อยๆ คิดถึงความจริงที่กำลังปรากฏ เพราะไม่ว่า จะได้ฟังคำอะไรก็ตาม เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ
แต่กว่าจะรู้ความจริงว่า อะไรแน่เป็นธรรมแน่นอน และคำว่า ธรรม ก็ต้องไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น แค่ฟังว่า เป็นประตู ผิดแล้วใช่ไหม? ประตูก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว แต่ธรรมแต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีลักษณะที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ไตร่ตรองรู้ว่า พูดถึงสิ่งที่มีตามความเป็นจริง แต่ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย และ ฟังไปถ้าขาดการไตร่ตรองในความละเอียดในความลึกซึ้ง ก็ไม่สามารถจะปรากฏตามความเป็นจริงให้รู้ได้ เพราะอย่างนี้เลย ปกติ แต่ปรากฏกับปัญญาไม่เปลี่ยนเลย อย่างนี้เลย แต่ขณะนี้ หน้าต่าง ประตู ไม่ได้ปรากฏกับปัญญา
แต่ว่า กว่าจะจะเป็นการเข้าใจว่า ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีประตู สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ลักษณะที่แท้จริงใครเปลี่ยนไม่ได้ เห็นไหม จะไปไหน ชื่อต่างๆ มากมาย ปัจจัยต่างๆ มากมาย แต่เฉลียวใจบ้างไหม? ไตร่ตรองบ้างไหมว่า ต้องเป็นความเข้าใจของตัวเองในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนเลย เพียงฟังแล้วก็รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ทรงพระมหากรุณาให้แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ๔๕ พรรษา ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีทั้งนั้น ให้รู้ความจริงว่า ความจริงถึงที่สุดคืออะไร? กว่าจะตรงต่อคำที่พระองค์ตรัส แม้คำเดียวว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แค่นี้ฟังแล้วเป็นอย่างไร? ใครจะรู้ ใครจะบอก ใครจะค่อยๆ แสดงความจริงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพียงเชื่อทันที พูดตามทันที แต่ก็ยังเป็นประตู หน้าต่าง เป็นขวดน้ำ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปไกลนะ เพียงแต่ว่า ฟังจนกระทั่งเห็นความลึกซึ้ง และเข้าใจธรรมทีละคำจริงๆ
สิ่งที่มีจริงกำลังมีจริงแน่ แต่ความลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ต้องฟัง แล้วไตร่ตรองทุกคำ จนกว่าจะมั่นคงในความจริง แล้วจึงรู้ได้ว่า กว่าจะรู้ความจริงนั้น ต้องอาศัยการไตร่ตรอง และกาลเวลาอีกนานเท่าไหร่ ซึ่งไม่สามารถจะไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย
กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีว่า ทำไมไม่รู้ ก็เพราะ หวัง ทุกคำต้องการรู้ ก็คือเคลื่อนไปแล้ว แต่ความลึกซึ้งคือแม้สิ่งที่กำลังปรากฏชัดเจนเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะไม่เข้าใจความจริง ปรากฏกับความไม่รู้ จนกว่าจะปรากฏกับความรู้จนประจักษ์แจ้งความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
เข้าใจอย่างนี้จะดีกว่าไปจำตัวเลขเยอะแยะไหม? ไปจำชื่อเยอะๆ ซึ่งไม่มีทางที่จะไตร่ตรองในความลึกซึ้ง จนสามารถรู้ได้ว่า นี่แหละ คือหนทาง เพราะว่าเพียงฟังแต่ไม่ได้ไตร่ตรองในความลึกซึ้งของแต่ละคำ ไม่เห็นความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จึงประมาทคิดว่าเข้าใจแล้วก็ผ่านไป เข้าใจแล้วก็ผ่านไป แต่เดี๋ยวนี้เป็นเครื่องวัดความเข้าใจความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แม้คำเดียว สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อัตตา และก็ทรงแสดงความจริงให้ค่อยๆ รู้ว่า ทำไมจึงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ความจริง สิ่งที่มีขณะนี้ต้องเกิด ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้แต่เกิด กำลังพูดนี่ก็เห็นตลอดเวลา ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเห็นไหม? เพราะฉะนั้น ความรวดเร็วความลึกซึ้งของสิ่งที่ปรากฏ แสดงให้เห็นถึงปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ รู้จักพระพุทธเจ้า ค่อยๆ รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนี้ ลึกซึ้งระดับไหน? ระดับที่ตลอดชาติถ้าไม่ได้มีการไตร่ตรองในความลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ ละความไม่รู้ความจริงซึ่งปรากฏทั้งวัน เห็นทั้งวัน ก็แสดงให้เห็นว่า การศึกษาธรรมไม่รู้ว่า ธรรมอยู่ตรงนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม คือรู้ว่า สิ่งนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วตรัสว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ เพราะแม้พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะตรัสรู้ความจริง
เพราะฉะนั้น เราล่ะ ฟังปุ๊บ ไปปฏิบัติรู้ปั๊บ อย่างนั้นหรือ? หรือว่าถึงจะเป็น ๗ วัน ๑ เดือน หลายๆ ปี หนึ่งชาติ นั่นหรือหนทาง? เพราะไม่มีความเข้าใจความเป็นจริงที่จะเป็นพื้นฐานให้รู้ว่า ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นจึงมี เมื่อมีแล้วก็หมดไป เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏอย่างหยาบๆ แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน จะพร้อมกันไม่ได้
เห็นไหม มีความมั่นคงในความเป็นจริง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำเพิ่มขึ้น ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปรู้ปัจจัยเยอะๆ หรือว่าจิตเท่าไหร่ หน้าที่ของจิต แล้วอะไรล่ะเดี๋ยวนี้? ไม่ถึงตัวธรรม แต่ว่าเป็นแต่เพียงรู้เรื่องของธรรม ได้ยินได้ฟังเรื่องธรรม แต่ตัวธรรมไม่เคยเข้าใกล้ ไตร่ตรองอย่างนี้หรือเปล่า? เรื่องตรงนี้ไม่ใช่เรื่องอื่น มิเช่นนั้นละไม่ได้
อ.ธนากร: ไพเราะมากๆ และก็ละเอียดมากๆ ครับ ท่านอาจารย์ก็ละเอียดตรงที่แม้แต่คำถามของผม ท่านอาจารย์ก็รู้ว่า เป็นการขอคำแนะนำครับโดยที่ไม่ใช่การพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเอง แต่ว่าเป็นการขอให้เป็นการพิจารณาของท่านอาจารย์ แล้วก็ถามว่าขาดอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วอันนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองจริงๆ ว่า ขาดอะไรครับ และ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงความลึกซึ้งว่า เพราะความหวัง ซึ่งถ้าท่านอาจารย์ไม่กล่าว ก็จะไม่รู้ตัวเลยว่า แม้แต่ที่ถามไปอย่างนั้นก็เพราะความหวัง หวังว่าจะมีหนทางอื่นนอกจากการพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองครับ ที่จะสามารถเข้าใจธรรมที่ฟังแล้วก็ตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงของธรรมนั้นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม นอกจากฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง แต่ก็ยังถามว่าขาดอะไรครับ นี่ก็เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม แล้วก็ที่ท่านอาจารย์ได้ชี้มา ก็เห็นได้เลยว่า ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมเพื่อละเหมือนอย่างที่พูดเหมือนอย่างที่ศึกษามา ก็ยังไม่ตรงครับ ก็เป็นพระคุณของท่านอาจารย์ครับ ที่ทำให้รู้ว่า ความไม่ตรงก็มาได้เสมอเลยครับ สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือการได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ
ท่านอาจารย์: พอจะละไปบ้างแต่ตื้นเหลือเกิน ยังละไม่ได้ แต่ยังรู้หนทางว่า ต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจโดยการไตร่ตรองความจริง เมื่อมีความมั่นคงในความจริง ความเข้าใจที่มั่นคงก็จะค่อยๆ ไม่ไปทำอะไรที่จะเข้าใจผิด หนทางผิด เพราะโลภะอยู่ที่นั่นจึงทำ
อ.ธนากร: ละเอียดมากจริงๆ ครับ เห็นความลึกซึ้งของ อริยสัจจะที่ ๔ อย่างที่เคยได้ยินแล้ว แต่พอเห็นว่า โลภะละเอียกขนาดนี้ แล้วถ้าท่านอาจารย์ไม่ได้ชี้ว่า แม้อย่างนี้ก็ไม่ใช่หนทาง ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ความลึกซึ้งของหนทาง แม้แต่จะเข้าใจขั้นการฟังยังลึกขนาดนี้ แล้วจะให้ธรรมง่าย เข้าใจเร็วไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย คือยิ่งมั่นคงจริงๆ ว่า ไม่มีทางแล้วก็เป็นความยาก และละเอียดลึกซึ้งที่สุดของพระธรรมครับ
ท่านอาจารย์: ฟังแล้วก็แค่คิด แต่กว่าจะรู้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติอยู่ในโลกของอัตตา จริงไหม?
อ.ธนากร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่กำลังมีเป็นอนัตตา ไกลเท่าไหร่? จะถึงได้อย่างไร? ตามลำดับอย่างไร? ถ้าไม่มีปัญญาเลยตั้งแต่ต้น ไม่ถึงแน่นอน ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ กี่แสนกัปป์
อ.ธนากร: เบิกบานครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เบิกบานที่ไม่ต้องหวังอีกต่อไป
อ.ธนากร: ใช่ครับ รู้ว่าไม่ต้องหวังอะไรครับ
ท่านอาจารย์: แต่รู้เหตุที่จะรู้ความจริงที่ลึกซึ้งเดี๋ยวนี้ ที่ไม่ปรากฏเพราะขาดความเข้าใจ จะปรากฏกับความเข้าใจถูกต้องเท่านั้น
อ.ธนากร: อันนี้ใครบอกแทนไม่ได้จริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ก็ไม่สามารถกล่าวได้นอกจากกล่าวตามพระธรรม แต่ว่าถ้าไม่เกิดปัญญาคิดด้วยตัวเองก็ไม่มีทางเห็นครับ ต่อให้พูดไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจริงๆ ครับ นอกจากต้องคิดด้วยตัวเองครับ อันนี้เป็นความจริงที่สุดเลย และก็จริงทุกคำที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
ขอเชิญฟังได้ที่..
เพียงสิ่งที่ปรากฏ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธนากร ด้วยความเคารพค่ะ