สัญชาตญาณของสัตว์โลก คืออย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ ความหมายของ สัญชาตญาณ ตามชาวโลกที่สมมติกันครับว่าคืออะไร สัญชาตญาณ คือความคิด ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิดของคนและสัตว์ ทำให้มีความรู้สึกและกระทำได้เอง โดยไม่ต้องมีใครสั่งสอน เช่น การดำรงเผ่าพันธ์ุ การเอาตัวรอดการแสวงหาอาหารของสัตว์ เป็นต้น
ซึ่งในสัจจะ ความจริง ไม่ว่าการกระทำอะไรที่แสดงออกมาทางกายและวาจา ก็คือการกระทำหน้าที่ของจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไป อันเป็นไปตามการสะสมครับ หากไม่มี จิต เจตสิกและรูป ไม่มีสภาพธรรมที่มีจริง ก็จะไม่มีการคิดนึก ไม่มีการกระทำ เช่น การกระทำทางกาย วาจา ที่เป็นการเอาตัวรอดครับ
การป้องกันตัว ซึ่งในสัจจะในพระพุทธศาสนาคำตอบในประเด็นที่ว่า แม้ไม่มีใครสอน ความคิดสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้ มีการกลัวตาย จึงป้องกันตัว การแสวงหาอาหาร เป็นต้น เพราะความจริงของสภาพธรรมที่เป็น จิต และเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายที่ดีหรือไม่ดีมาครับ คือเมื่อกุศลจิตเกิดขึ้น ก็สะสมสิ่งที่ดีต่อไปในจิตขณะต่อไปให้เป็นผู้มีอุปนิสัยดีเช่นนั้น เมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้น จิตก็สะสมสิ่งที่ไม่ดี อุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไปในขณะจิตต่อไป ให้เป็นผู้มีอุปนิสัยไม่ดีอย่างนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ต่างๆ เกิดขึ้นมา แม้ยังเป็นเด็ก แต่ในความเป็นจริงก็คือ การเกิดขึ้นของจิตที่เกิดดับสืบต่อกันมา ซึ่งก่อนจะเป็นเด็ก เป็นสัตว์ในชาตินี้ ก็เกิดมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ก็แสดงว่ามีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกมามากมายนับไม่ถ้วนมาแล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดขึ้นมา ก็สะสมสิ่งต่างๆ มามากมายแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งอุปนิสัยที่ดีและอุปนิสัยที่ไม่ดี สะสมทั้งความคิดที่ดีและไม่ดี สะสมวาจาที่ดีและไม่ดี สะสมการกระทำทางกายที่ดีและไม่ดี ดังนั้น เราจะไม่มองเพียงชาติเดียว แต่ให้เห็นว่ามีการเกิดขึ้นและดับไปของจิต เจตสิกมามากแล้ว ชาวโลกจึงกล่าวว่า เมื่อเกิดมา สัตว์ต่างๆ ก็มีสัญชาตญาณ คือความรู้ การกระทำที่เกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องสอนก็ทำได้ มีการแสวงหาอาหาร การป้องกันตัว เป็นต้น แต่ความจริง เพราะสะสมสิ่งต่างๆ มามากแล้ว จากการเกิดดับของจิตและเจตสิกในแสนโกฏิชาติ นับไม่ถ้วน จึงทำให้สามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้ทันที มีความกลัวภัย จึงป้องกันตัวเองได้ทันที เป็นต้น
ซึ่งเมื่อมองให้ละเอียด สำหรับสัตว์โลกผู้ที่ยังหนาด้วยกิเลส คือเป็นปุถุชน สิ่งที่สะสมมามากคือกิเลสประการต่างๆ ส่วนสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลธรรม สะสมมาน้อย ดังนั้น สัญชาตญาณที่มีการกระทำทางกาย วาจา อันเกิดจากความคิดนึกขึ้นเอง ส่วนใหญ่แล้วก็มีรากฐานมาจากกิเลสที่สะสมมา มีความไม่รู้ อวิชชา โลภะ โทสะ กิเลสประการต่างๆ นั่นเองครับ แสวงหาอาหารด้วยโลภะ กลัวภัยด้วยโทสะ จึงป้องกันตัว เป็นต้น ก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก แต่เป็นจิตที่ไม่ดี ที่ประกอบด้วยกิเลสนั่นเองครับ
สัญชาตญาณของสัตว์โลก จึงเป็นความคิดที่สะสมความไม่รู้ สะสมกิเลสมามาก ทำให้มีการกระทำทางกาย วาจาที่เกิดขึ้นเองด้วยอำนาจกิเลสประการต่างๆ ซึ่งผู้ถามก็มีความเข้าใจถูกต้องแล้วครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า จิต เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่สะสม แม้จะสะสมกิเลสมามาก อันแสดงถึงสัญชาตญาณที่เนื่องด้วยกิเลสเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้ที่อบรมปัญญาสะสมคุณความดีคือศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็มีความคิดที่ดี ที่สะสมมาเช่นกัน ซึ่งการสะสมในฝ่ายกุศลธรรมและอกุศลธรรมนั้นแยกกันครับ
แม้สะสมอกุศลธรรมามาก แต่กุศลธรรมคือปัญญาและศรัทธา สภาพธรรมฝ่ายดีประการต่างๆ ที่เคยสะสมในอดีตไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมต่อไปเป็นอุปนิสัยและสามารถที่จะสะสมต่อไปจนมีกำลัง ละสิ่งที่ไม่ดีคือกิเลสประการต่างๆ ได้ด้วยปัญญา โดยการสะสมมาในฝ่ายดีครับ และละสัญชาตญาณที่เป็นฝ่ายไม่ดีได้ครับ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมเกื้อกูลต่อการสะสมสิ่งที่ดี และละสิ่งที่ไม่ดีได้ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
สัญชาติญาณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ล้วนมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น กล่าวคือ ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และรูป เลย ที่มีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไปนั้น ก็เพราะว่ายังดับกิเลสใดๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออวิชชาและตัณหา เมื่อมีการเกิดขึ้นในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย และแต่ละคนก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามการสะสม ไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ก็ต่างกันโดยการได้รับผลของกรรมที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วในอดีต และต่างกันโดยการสะสมเหตุในปัจจุบันอีกด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
โดยปกติของผู้ที่มีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นไปมากกว่ากุศล แต่อกุศลที่ว่านี้ตราบใดที่ยังไม่ได้มีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนสัตว์อื่นผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็ยังไม่เป็นเหตุให้ได้รับผลที่เป็นอกุศลวิบาก แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตไม่หายไปไหน เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลังขึ้นก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ แต่ถ้าล่วงเป็นทุจริตกรรมเมื่อใด ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้าได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ยังมีกิเลสอยู่นั่นเอง แต่ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะอกุศลเท่านั้น กุศลก็เกิดได้ มีได้ในชีวิตประจำวัน สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีซึ่งจะไม่ปะปนกันกับส่วนที่ไม่ดีเลย
การดำรงชีวิต การเอาตัวรอดของผู้ที่ได้เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลธรรม ก็ย่อมจะแตกต่างจากผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ไม่เห็นโทษของอกุศลธรรม ซึ่งก็จะพอสังเกตเห็นได้ในชีวิตประจำวันว่าแต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่กระทำอกุศลกรรม พร้อมทั้งสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นเหตุให้ตัวเองรอดจากอกุศล รอดจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งหมดนั้น ไม่พ้นไปจากธรรมเลย เป็นธรรมทั้งสิ้น ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่กระทำอกุศลกรรม พร้อมทั้งสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นเหตุให้ตัวเองรอดจากอกุศล รอดจากทุกข์ทั้งปวง...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สัญชาตญาณเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ผู้ที่ไม่มีกิเลสอย่างพระอรหันต์ จะไม่มีสัญชาตญาณดังกล่าวเลย ท่านไม่มีความใคร่หิวกระหาย การเอาตัวรอด ฯลฯ การดำรงชีวิตอยู่ของท่านเหมือนกับลูกจ้างที่รอเวลางานเลิก อยู่เพราะมีขันธ์ ๕ ที่ต้องบริหาร แต่ไม่ใช่อยู่ด้วยอำนาจของกิเลส
การใช้ชีวิต ตามสัญชาตญาณ คือใช้ชีวิตโดยความไม่รู้ โดยอำนาจของกิเลส ก่อให้เกิดการกระทำกรรม และเมื่อมีกรรมก็ย่อมมีวิบาก วนเวียนไปเช่นนี้ ตราบเท่าที่ยังไม่รู้หรืออวิชชา จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ