เรียนถามท่านอาจารย์
ในชีวิตประจำวัน เรามีความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นสุข โกรธ ดีใจ เสียใจ การที่เรารู้ถึงการเกิดดับของความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นการฝึกจิตให้ตั้งมั่นได้หรือไม่ จะเป็นหนทางนำไปสู่การเจริญสติปัฏฐานได้หรือไม่ และคำว่าจิตตั้งมั่นหมายความว่าอย่างไร ขออาจารย์ช่วยอธิบายด้วยคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตตั้งมั่น โดยทั่วไปเราเข้าใจว่าหมายถึงอยู่กับอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง วางเฉย แต่แท้ที่จริง เป็นเรื่องของปัญญา จิตตั้งมั่นด้วยดีด้วยปัญญาที่รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างจะต้องเป็นเรื่องของปัญญาว่าขณะนั้นรู้ความจริงอะไร จึงจะเป็นการตั้งมั่นด้วยปัญญาในขณะนั้น ครับ
ส่วนการเห็นการเกิดดับนั้น ปัญญามีหลายระดับครับ การพิจารณาธรรมก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง ที่ไม่ใช่การรู้การเกิดดับของสภาพธรรมจริงๆ สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วต้องดับไปเสมอ ขณะนี้กำลัง ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ดังนั้นจิตเห็นต้องดับก่อนถึง จิตได้ยินจะเกิด แต่ก่อนที่จิตได้ยิน หรือได้ยินเสียงเกิดขึ้นก็มีจิตอื่นๆ เกิดดับสืบต่อมากมายแล้วครับ แต่เพราะความรวดเร็วของจิตในการเกิดดับสืบต่อกัน ทำให้เหมือนเห็นไม่ไ่ด้ดับไปเลยและก็ยังได้ยินทั้งที่เห็นอยู่ ครับ
ดังนั้นการพิจารณาในความเกิดดับของสภาพธรรม ก็เป็นการพิจารณาเรื่องราวของสภาพธรรมที่ดับไปหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นการพิจารณาที่ถูกว่าสภาพธรรมหนึ่งต้องดับไปก่อน จึงจะมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดดับสืบต่อกันเกิดขึ้นตามลำดับครับ แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาพิจารณา ให้เห็นการเกิดดับ เพราะการเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม คือ ปัญญาระดับสูงที่เป็นระดับวิปัสสนาญานขั้นที่ 3 และ 4 ดังนั้นถ้ายังไม่รู้จักตัวธรรมลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ก็ไม่มีทางเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมได้เลยครับ เพราะยังไม่รู้ว่าสภาพธรรมคืออะไรในขณะนี้ที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม จะรู้ลักษณะของการเกิดดับไมไ่ด้เลย เพราะตัวธรรมก็ยังไม่รู้ครับ ดังนั้นการเห็นการเกิดดับไม่ใช่ด้วยการพิจารณาแต่สำคัญคือ ค่อยๆ อบรมปัญญาขั้นการฟังในเรื่องสภาพธรรมต่อไป
ปัญญาก็จะเกิดเองจนถึงรู้ลักษณะของสภาพธรรม และธรรมทำหน้าที่รู้ความจริง แม้ในเรื่องการเกิดดับ แต่เป็นเรื่องไกล และต้องอาศัยกาลเวลายาวนานในการจะไปถึงจุดนั้นครับ ดังนั้นสบายๆ ด้วยการฟังพระธรรมต่อไปครับ นี่คือหนทางที่จะไปถึงการเห็นการเกิดดับ แต่ไม่ใช่การไปพยายามคิดในเรื่องการเกิดดับจะเป็นหนทางการรู้การเกิดดับครับ ต้องรู้จักตัวธรรมก่อนครับจึงจะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมได้ ครับ
ขออนุโมทนา
ชีวิตที่เป็นปกติ จริงอย่างไร ก็จริงอย่างนั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์มากๆ คะ อนุโมทนาคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตมีหลากหลาย ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เจตสิกปรุงแต่งให้จิต เป็นอกุศลจิต ก็มี ปรุงแต่งให้จิตเป็นกุศลจิต ก็มี ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย อกุศลเจตสิก เช่น โมหะ (ความไม่รู้) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ไม่สงบ) เป็นต้น เกิดกับจิตใด ก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นอกุศลจิต ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจตสิกฝ่ายดี มี ศรัทธา (ความผ่องใส) สติ (ความระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวบาป) อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) เป็นต้น เกิดกับจิตใดก็ปรุงแต่งให้จิตขณะนั้น เป็นจิตที่ดีงาม
การจะฝึกจิต (ไม่มีตัวตนที่ฝึก) จากที่เป็นอกุศล ตกไปในฝักฝ่ายของอกุศล บ่อยๆ เนืองๆ ให้ลดน้อยลง เริ่มเป็นกุศลที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าเมื่อปัญญาเจริญขึ้นไป ย่อมจะช่วยบรรเทาอกุศลจิตให้ลดน้อยลงได้ และที่สำคัญ ปัญญานี้เองจะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สูงสุดคือ ปัญญาขั้นที่เกิดกับอรหัตตมรรค ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย
การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อประโยชน์ คือ เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เพื่อละอกุศลทั้งหลาย จนกระทั่งไม่สามารถเกิดได้อีกเลย นี่คือพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา จึงเป็นเครื่องฝึกที่ดี เพราะทำให้ผู้ที่ได้รับการฝึก มีความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ในสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง และสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น จึงสำคัญที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณอาจารย์คะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ