มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงปิดเทอม เราใช้เวลาว่างไปยืมพระวินัยปิฎกและหนังสือธรรมมาจากห้องสมุด แล้วอ่านทุกวันเป็นเวลาเกือบเดือนเพื่อจะศึกษาข้อธรรมต่างๆ แล้วในขณะที่อ่านเรื่องการการพิจารณาฌาณอยู่นั้น พออ่านไปเรื่อยๆ เรื่องปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็พิจารณาตามอารมณ์นั้นไป จู่ๆ ก็เกิดเหมือนมีแต่แสงสว่างเกิดขึ้นภายในเราอธิบายได้ว่าเหมือน อยู่ๆ โลกก็กลายเป็นแสงสว่าง เหมือนอะไรมันถูกยกขึ้น แล้วเกิดสุขอย่างยิ่งอยู่กับ ความสุขนั้น แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น เราไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร่แต่จู่ๆ ก็เหมือน เราเกิดคิดขึ้นว่าเรากำลังอ่านหนังสืออยู่ สักพักเหมือนแสงทั้งหมดก็หายวับไป เราไม่ได้ภาวนาอะไร เรานั่งถือหนังสืออยู่ เราลืมตาอยู่ด้วยในขณะนั้น แบบนี้มันคือ อะไรหรือใช่สมาธิหรือเปล่าคะ
เรื่องทั้งหมดที่กล่าวถึงเป็นการคิดไปเองและเป็นความไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญาความรู้แจ้ง ถ้าเป็นปัญญาย่อมไม่สงสัยงงงวยว่ามีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่งสมาธิเกิดกับจิตทุกขณะ ขณะที่งงหรือสงสัยอยู่ก็มีสมาธิเกิดร่วมด้วยแต่เป็นมิจฉาสมาธิ โปรดอย่าไปสนใจกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระเพราะมันผ่านไปแล้ว สิ่งใดที่กำลังปรากฏให้ศึกษามีอยู่ ควรศึกษาสิ่งนั้นเพราะการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ตลอดกาลนานแก่ผู้รู้แจ้ง
สาธุ
การจะเริ่มศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลอย่างที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับอะไรได้จริงๆ และเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ต้องเริ่มที่ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมะคืออะไรไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และบังคับบัญชาไม่ได้อย่างไร แล้วค่อยๆ สะสมความเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นๆ ตามกำลังของปัญญา
อนุโมทนาด้วย ขอให้ตั้งมั่นทำต่อไปนะคะ อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าปฏิบัติดี ทุกอย่างที่เกิดก็น่าเป็นที่ดี เรารู้ได้ด้วยตนเอง
อาการแบบนี้สามารถเป็นไปและเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ควรพิจารณาว่าขณะที่เกิดนั้นปัญญารู้อะไร? หรือเป็นเพียงความสุขที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วดับไป แต่ไม่ช่วยให้รู้และเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเลย ยังแต่จะให้เกิดข้อสงสัยและคลุมเครือต่อตนเอง หากพิจารณาแล้วไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการเกิดอาการแบบนั้น ก็ควรละไปและไม่ตรึกนึกคิดถึงมันอีก เพราะนอกจากจะทำให้เป็นการสะสมความไม่รู้แล้ว ยังเป็นการสะสมความติดข้องในสุขอันไม่ยั่งยืนอีกด้วย
สาธุ
ค่ะท่านกุมารน้อย
ยินดีในกุศลจิตค่ะ