ฆ่าความโกรธเสียได้ ...จึงอยู่เป็นสุข
ฆ่าความโกรธเสียได้ ...จึงไม่เศร้าโศก
ผู้ที่จะเจริญเมตตาจะต้องรู้จุดประสงค์ด้วยว่า อบรม เจริญเพื่ออะไร
เพื่อต้องการให้จิตสงบถึงอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ หรือว่าอบรมเจริญเมตตาเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งเมื่อยังมีสังสารวัฏฏ์อีกยาวนานและไม่รู้ว่าเมื่อใดบารมีจะสมบูรณ์ถึงพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจจ์ ก็ควรที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการเพื่อจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ผู้ที่คิดว่าจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ไม่เจริญเมตตาเลย หรือคิดว่าเมตตาเกิดยาก ก็เลยไม่อบรมเจริญให้เมตตาเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ก็ควรที่จะได้คิดว่า แม้เพียงเมตตาก็ยังคิดว่าเกิดยาก ฉะนั้น ปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้นจะยิ่งเกิดยากกว่าสักเพียงไหน เพราะฉะนั้น ไม่ควรท้อถอย ไม่ควรที่จะให้อกุศลมีกำลัง และคิดว่าเมตตาเกิดไม่ได้จึงไม่อบรมเจริญ แต่ที่ถูกแล้วถ้าสติเกิดขึ้นในขณะนั้นควรจะได้พิจารณาว่า เมตตาเกิดได้ถ้าค่อยๆ อบรมเจริญไป เมตตาก็จะมีกำลังขึ้นจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีจิตใจสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะด้วยกายหรือด้วยวาจาหรือด้วยใจก็ประกอบด้วยเมตตา
การที่เมตตาจะเจริญขึ้นได้นั้นจะต้องเริ่มจากเห็นโทษของ "โทสะ" โทสะเป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเมตตา ขณะใดโทสะเกิดขึ้น แสดงว่าขณะนั้นขาดเมตตา ผู้เจริญเมตตาต้องเห็นโทษของโทสะว่า โทสะเป็นสภาพธรรมที่หยาบกระด้าง ประทุษร้ายตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน เมื่อโทสะเกิดขึ้นครอบงำจิตขณะใด ย่อมเผาจิตให้รุมร้อน และย่อมเป็นเหตุให้เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ตามกำลังของโทสะที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น ในสังยุตตนิกาย ฆัตวาวรรคที่ ๘ ฆัตวาสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า...
[๑๙๘] เทวดายืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก ข้าแต่พระโคดม พระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ
[๑๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียได้จึงไม่เศร้าโศก แน่ะ เทวดา พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน เพราะฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
แสดงว่าเมื่อความโกรธเกิดขึ้นนั้น ย่อมเดือดร้อนเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ และย่อมหวังร้ายคิดร้าย ประทุษร้ายผู้ที่ตนโกรธด้วยกาย วาจา ให้เขาเป็นทุกข์ เดือดร้อน ปราศจากความสุขด้วยประการต่างๆ เช่น ทุบตี ประหัตประหาร กราดเกรี้ยว กล่าววาจาหยาบคาย เผ็ดร้อน รุนแรง เมื่อประทุษร้ายผู้อื่นด้วยกาย วาจา แล้วย่อมสาสมใจที่ได้กระทำเช่นนั้น แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความโกรธมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน ฉะนั้น ขณะเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่นสาสมกับความโกรธจึงเป็นยอดหวานที่มีรากเป็นพิษ เพราะกระทำกรรมใดย่อมได้รับผลของกรรมนั้น เมื่อการประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นเกิดเพราะโทสะเป็นอกุศลกรรมจึงมีรากเป็นพิษ คือ เป็นเหตุให้ผู้กระทำอกุศลกรรมนั้นเองเป็นผู้ได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นโดยประสบความวิบัติทุกข์ยากต่างๆ และเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานตามควรแก่ความหนักเบาของอกุศลกรรมนั้นๆ
..จากหนังสือ "เมตตา" เปิดอ่าน --> คลิกที่นี่
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ