ผมทำงานมีวันหยุด ๑ วันต่อสัปดาห์ ผมอยากทราบว่า เราจะมีสติในปัจจุบันในขณะที่ทำงานอย่างไรครับ และทำงานอย่างไรให้เป็นสุขครับ ขอบคุณครับ
คุณหมาย ค่อยๆ ศึกษา ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก่อนนะครับ ถ้าสนใจเรื่องสติ ลองพิมพ์คำว่า สติ ในช่องค้นหา ที่อยู่มุมขวาบน ของกระดานสนทนานี้ จะได้อ่านหัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง สติของที่ผ่านมา สำหรับความสุขนั้น ก็คู่กับความทุกข์ ครับ ในชีวิตประจำวัน ทุกคนย่อมมีทั้งสุข และทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ทำงาน หรือขณะที่ไม่ได้ทำงาน และถ้ากล่าวโดยละเอียดแล้ว จิตทุกขณะ ต้องทำกิจการงานเช่น จิตเห็น ก็ทำกิจเห็น จิตได้ยิน ก็ทำกิจได้ยิน แม้ขณะที่หลับสนิท จิตก็ยังทำกิจการงาน คือ ทำกิจภวังค์ (ดำรงรักษาภพชาติ) ครับ
ทุกคนที่ยังเป็นปุถุชน ย่อมแสวงหา ติดในความสุข ข้อนี้เป็นธรรมดา แต่เราไม่รู้ว่า อะไรเป็นเหตุแห่งความสุข ความสุขคืออะไร และที่เรียกกันว่าความสุข ใช่สุขจริงหรือเปล่า เพราะเมื่อต้องการ สิ่งที่ต้องการเที่ยงไหม (ความสุข) ไม่เที่ยง เมื่อไม่ได้ตามปรารถนา สุขหรือทุกข์ และสิ่งที่ไม่เที่ยง สุขหรือทุกข์ การที่เราเข้าใจความจริงว่าสภาพธัมมะที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เช่นความสุข คืออะไรกันแน่ เป็นเราที่สุข หรือเป็นธัมมะอย่างหนึ่ง ที่ต้องอาศัยเหตุ ให้เกิดด้วย เราไม่เห็นเลยว่า สิ่งที่ทำให้เราทุกข์คือความต้องการ ตราบใดที่ยังมีความต้องการ ก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ จากคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้มีความสุขครับ ก็ขอตอบว่า เมื่อไม่มีความต้องการจึงจะสุข แต่ถามว่าทำได้ไหม บอกไปก็ทำไม่ได้ เพราะในทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของปัญญา ถ้ายังไม่มีปัญญา จะบอกให้มีปัญญา ให้ไม่ต้องการซิ ก็ทำไม่ได้ เพราะปัญญาเท่านั้นที่ทำหน้าที่ละความต้องการ และเราก็ต้องรู้ว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องมีเหตุ คืออาศัยการฟังก่อน ฟังอะไร ฟังธรรม ธรรมก็มีตั้งเยอะ ฟังในสิ่งที่เราเข้าใจความจริงในสิ่งที่มีในตัวเรานั่นแหละว่า เป็นธรรม
ต้องเริ่มจาก ธรรมคืออะไร ปัญญาต้องค่อยๆ เติบโต เริ่มจากการฟังครับ ค่อยๆ ฟังไปนะ มีปัญหาถามกันได้ ลองฟังแนวทางนี้ดูครับ อนุโมทนา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 359
ข้อความบางตอนจาก กกุธสูตร
[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมี ทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ. [๒๗๒] กกุธเทวบุตรทูลว่า นานหนอ ข้าพระองค์เพิ่งพบเห็น ภิกษุ ผู้เป็นพราหมณ์ดับสนิทแล้ว ไม่มี ความยินดี ไม่มีทุกข์ ข้ามพ้นเครื่องข้อง ในโลกแล้ว.
ยินดีที่ได้พบ คุณแล้วเจอกัน อีกนะครับ ทราบมาว่าช่วงที่หายไป (เดือนกว่าๆ ) ได้รักษาศีล ๘ ทุกวัน เป็นการกระทำที่ทำได้ยากจริงๆ (สำหรับผม) เพราะแม้จะเป็นวันอุโบสถ (วันพระ) ผมก็ยังดูหนังโรงด้วย ส่วนพระสูตรที่ยกมาคราวนี้ โดนใจผมจริงๆ เพราะขณะที่ผมเพลิดเพลินในการดูหนัง ไม่เห็นทุกข์เลย เนื่องจากเป็นทุกขอริยสัจจ์ ใช่ไหมครับ (โลภะ คือทุกขอริยสัจจ) สมจริง ดังข้อความที่ว่า ทุกคนไม่ชอบโทสะ แต่ โลภะ เท่าไรก็ไม่พอ
โลกธรรม ๘ เป็นของธรรมดาประจำโลกหนีไม่พ้น ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ คนที่อบรมปัญญา จะหวั่นไหวกับ โลกธรรมน้อยกว่าคนที่ไม่ได้อบรมปัญญา
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ ...
ขณะ ได้ล่วงเลยเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำหน้าที่ของตนเอง ในขณะนี้ให้ดีที่สุดเถอะค่ะ ไม่ว่าจะในฐานะใด เช่น ลูกจ้าง บุตร เพื่อน พุทธบริษัท พลเมืองของประเทศ ประชากรของโลก การแสวงหาความสุขบ้างเล็กๆ น้อยๆ เป็นธรรมดาของปุถุชน ที่ยังละโลภะไม่ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่พอบอกว่าละไม่ได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดที่จะขัดเกลา กุศลทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ควรเจริญค่ะ แม้ความรู้จักพอ ก็เป็นกุศลชนิดหนึ่ง
ขอเล่าด้วยคน
ได้มีผู้รู้เขาบอกว่า ทำงานให้สนุก เป็นสุขกับการทำงาน เราควรอินกับงานที่ทำ หมั่นปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ้าง ตื่นเช้า ยิ้มกับตัวเองและบอกกับตัวเอง ความสุขบางครั้งหาได้ง่าย อยู่ที่เราจะแสวงหา ให้คิดว่า การทำงาน เป็นการทำทาน อย่างหนึ่ง ตัวแปรที่อยู่รอบๆ ตัวเรา บางครั้งเราก็คงพยายามตัดออกไปบ้าง อย่าให้เข้ามาใกล้เรามาก
ต้องขอใส่วงเล็บ ให้คุณท้องฟ้า หน่อย ว่า ทำงานในที่นี้ คือ งานที่สุจริต นะครับ แต่ไม่ว่างานที่ทำอยู่จะเป็นอาชีพอะไร ถ้า "กินตามน้ำ" หรือ "ใส่เกียร์ว่าง" อันนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ขอบคุณทุกท่านครับ
ผมขออนุญาตคุยกันแบบสบายๆ สักนิดนะครับ จะทำงานอย่างไรให้ไม่เป็นทุกข์ดีกว่า เพราะดูเหมือน ทุกอย่างช่างกดดันเสียเหลือเกิน ขอเอาแบบ ไม่เป็นทุกข์ก็พอแล้ว ส่วนทำแบบมีความสุขได้ ช่างน่าพอใจ เป็นสิ่งที่อยู่ในความฝันผมเลยทีเดียว ขอให้ทุกท่านทำงานด้วยความสุขนะครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ