อวิชชา กับ มิจฉาทิฏฐิ เป็นอกุศลธรรม เป็นเจตสิกคนละประเภทมีลักษณะและกิจต่างกัน คืออวิชชา เป็นโมหเจตสิก มีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีความปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นกิจ โมหเจตสิกเกิดร่วมกับอกุศล ๑๒ ดวง ส่วน มิจฉาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิเจตสิก เป็นความเห็นผิด มีความยึดมั่นโดยไม่แยบคาย เป็นลักษณะ มีความยึดมั่นโดยลัทธิอื่น เป็นกิจ ทิฏฐิเจตสิก เกิดร่วมกับ โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุต ๔ ดวง เท่านั้น
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
โมหะ และมิจฉาทิฏฐิ เป็นไฉน? [ธรรมสังคณี]
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
สภาวะที่ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ [ธรรมสังคณี]
อวิชชา หมายถึง การไม่รู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง อวิชชาเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เพราะความไม่รู้ทำให้เราทำดีทำ ชั่ว ทำให้เราวนเวียนอยู่ในวัฎฎะ และเพราะอวิชชาเป็นรากเหง้าของทุกข์ทั้งหลาย อวิชชาเป็นหัวหน้าของอกุศลทั้งปวง
มิจฉาทิฎฐิ เป็นทิฎฐิเจตสิก มีความเห็นผิดว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล คุณมารดาบิดาไม่มี การลูบคลำข้อปฏิบัติที่ผิด เช่น ทรมานร่าง กาย นอนบนตะปู อดอาหาร เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ขั้นศึกษาแล้วก็ยังไม่พอ การเจริญสติจึงเป็นทางเดียวที่จะเข้า ถึงอรรถของอวิชชา และมิจฉาทิฏฐิน่ะคับ
สรุปว่า....ในขณะที่เป็นมิจฉาทิฏฐิต้องมีโมหเจตสิกร่วมด้วยทุกครั้งหรือไม่...
มิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ มีโมหเจตสิกร่วมด้วย เพราะโมหเจตสิกเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท
สาธุ