ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรม
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถอดเทปโดย คุณสงวน สุจริตกุล
สำหรับเรื่อง "คารวะ ๖" ท่านผู้ฟัง จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของการ "ปฏิบัติ" ทั้งสิ้น
๑. การเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็คือ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ไปสู่ที่บำรุง.เมื่อพระองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็ไปสู่ที่ เจติยสถาน โพธิสถาน ไหว้พระเจดีย์ หรือ ต้นโพธิ์ เป็นต้น นี่คือ "การปฏิบัติ" เป็นการกระทำความเคารพ ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. การเคารพในพระธรรม เช่น ผู้ที่สามารถไปฟังพระธรรมได้แต่ไม่ไปสู่ที่ฟังพระธรรมหรือ ฟังพระธรรมอยู่ แต่มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่เอื้อเฟื้อ นั่งอยู่พึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่มีความเคารพ ในพระธรรม ถ้าเคารพจริง ย่อมกล่าว ธรรมกถา แล้วก็ มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน ในขณะฟังพระธรรม คือ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพนี่เป็นการเคารพ ในพระธรรม
๓. การเคารพในพระสงฆ์ เช่น คฤหัสถ์ ขณะที่ไม่มีความยำเกรงในพระเถระ ในพระภิกษุใหม่ ในพระภิกษุผู้ปานกลางมีการคะนองกาย ในที่ทั้งหลาย มีโรงอุโบสถ เป็นต้น สำหรับพระภิกษุ ได้แก่ พระภิกษุที่ไม่ไหว้ตามลำดับผู้แก่ (อาวุโส) ก็ทราบได้ว่า ผู้นั้นไม่มีความเคารพในสงฆ์
๔. การเคารพในสิกขา (ศึกษา) มีข้อความว่าฝ่ายผู้ใดไม่สมาทาน ศึกษาในไตรสิกขา เสียเลยพึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่เคารพในสิกขาคือ ไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นคุณค่า ไม่เคารพเพราะเห็นว่า ไม่ควรที่จะต้องศึกษา จึงไม่ศึกษา การไม่เคารพในสิกขาคือ การไม่เคารพใน "การเจริญสติปัฏฐาน" เพราะไม่เห็นคุณ ไม่เห็นประโยชน์ แต่สำหรับผู้ที่มีความเคารพ ในไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ก็คือ เห็นคุณ เห็นประโยชน์ แล้วศึกษา (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ) ด้วยความเคารพ
๕. การเคารพในความไม่ประมาท สำหรับผู้ที่ "ไม่เคารพ" ในความ "ไม่ประมาท"คือ "ผู้ที่อยู่ปราศจากสติ" ไม่พอกพูน "ลักษณะแห่งความไม่ประมาท" แสดงว่าไม่มีความเคารพใน "ความไม่ประมาท" เพราะฉะนั้นความเคารพทั้งหมดเป็นการปฏิบัติ ถ้าเคารพในความไม่ประมาทคือ "สติ" ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง เป็นการพอกพูนแห่งลักษณะของความไม่ประมาทเพราะ "เห็นประโยชน์" จึงเคารพใน "ความไม่ประมาท"
๖. การเคารพในการปฏิสันถาร การปฏิสันถาร มีสองประการ ได้แก่ อามิสปฏิสันถารกับธัมมปฏิสันถาร ถ้าบุคคลนั้น เห็นคุณ เห็นประโยชน์ในการปฏิสันถารทั้งสองประการคือ การต้อนรับด้วยอามิส ด้วยวัตถุสิ่งของซึ่งจะเป็นที่สบายใจ สะดวกใจ แก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ "ปฏิบัติ" คือให้อามิสปฏิสันถารเพราะเป็นผู้เคารพ ในอามิสปฏิสันถาร
สำหรับ ธัมมปฏิสันถาร ก็คือ การเป็นผู้เคารพ ในธัมมปฏิสันถาร เพราะว่า เห็นคุณค่าของพระธรรมและคิดว่าสิ่งที่ควร ที่จะให้แก่ผู้อื่นที่สุดคือ พระธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อพบปะบุคคลใด ก็มีธัมมปฏิสันถารเพราะว่า เป็นผู้ที่มีความเคารพในธัมมปฏิสันถาร เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ ว่า เรื่องของการเคารพเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ ทั้งสิ้น
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่าเรื่อง "การละคลายกิเลส" เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าตราบใดที่ "สติ" ไม่ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ ย่อมไม่สามารถ ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันมีจิตที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เช่น ในขณะที่จิตอ่อนโยนมีความนอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อมในขณะนั้น เป็นกุศลจิต และ ถ้า "สติ" เกิดระลึกรู้ในขณะนั้นๆ ก็คือ "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
การเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า
การเคารพในพระธรรม
การเคารพในพระสงฆ์
การเคารพในสิกขา
การเคารพในความไม่ประมาท
การเคารพในการปฏิสันถาร
"คารวะ ๖"
ขออนุโมทนาค่ะ
เวลาส่วนใหญ่ใน ๑ วัน เข้าใจว่ายังไม่ได้ "คารวะ ๖" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อ ๕ เพราะอกุศลจิตเกิดบ่อย กุศลจิตเกิดน้อย แต่กำลังค่อยๆ ขัดเกลา กำลังสะสมความเข้าใจถูก สักวัน เมื่อกุศลจิตเกิดบ่อย อกุศลจิตเกิดน้อย คงเกิดการ "คารวะ ๖" ด้วยความนอบน้อม
สาธุ
เป็นไปเพื่อความเจริญ ขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น สำหรับ คารวะ ๖
อนุโมทนาครับ
เรื่องของการเคารพ ๖ เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ ทั้งสิ้น
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
แม้แต่พุทธเจ้ายังเคารพธรรมเลย เช่น พระพุทธเจ้าเส็ดจไปที่อารามแห่งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งแสดงธรรมอยู่ พระพุทธเจ้าเคารพธรรมจึงหยุดรอให้ภิกษุแสดงธรรมจบจึงเข้าไปค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ