อวิชชานั้นจะละให้หมดสิ้นไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ เมื่อบรรลุอริยสัจธรรมขั้นพระอรหันต์แล้วไม่มีอกุศลธรรมอีกต่อไป อวิชชาดับหมดสิ้น ในทีฆนิากาย มหาปรินิพพานสูตร เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพานนั้น บุคคลผู้ยังมีปัจจัยของโทมนัส ก็โศกเศร้า คร่ำครวญ ดังข้อความในพระสูตรว่า “เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายนั้น ภิกษุเหล่าใดยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว ภิกษุเหล่านั้นบางพวกประคองแขนทั้งสอง คร่ำครวญอยู่ ล้มลงเกลือกกลิ้งไปมา (ดุจมีเท้าอันขาดแล้ว) รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเสียเร็วนัก”
ส่วนภิกษุเหล่าใดที่มีราคะไปปราศแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะอดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เพราะฉะนั้นเหล่าสัตว์จะพึงได้สังขารนี้แต่ที่ไหนฯ ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธเตือนภิกษุทั้งหลายว่า “อย่าเลย อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลยเรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่าของสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้”
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ