ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บ้านธัมมะ 17 มิ.ย. 66 สนทนาธรรมกับ คุณพฤฒ บุญญาสัย
คุณพฤฒ บุญญาสัย สมาชิกชมรมบ้านธรรมะลำดับที่ 4889 แขกรับเชิญที่มาร่วมสนทนาธรรม เป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของการสะสมอุปนิสัยที่ดีงาม คือ สนใจศึกษาธรรมะ การฟังธรรมะเพื่อสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกไปตามลำดับ ความเป็นมาในการศึกษาธรรมะของคุณพฤฒจะเป็นอย่างไร และวันนี้มีประเด็นใดบ้างที่จะมาร่วมสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาพระธรรมและสะสมเหตุที่ดีต่อไป
เชิญคลิกชม ...
รายการบ้านธัมมะ 17 มิถุนายน 2566 เรื่อง สนทนาธรรมกับคุณพฤฒ บุญญาสัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ปัจจุบันคุณพฤฒเป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจและการตลาดของบริษัทสรีธร ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ปฎิบัติงานที่จังหวัดภูเก็ต
คุณพฤฒได้อัญเชิญแสงสว่าง คือพระธรรมสู่ครอบครัว เพราะเป็นสิ่งที่เคารพสูงสุดในสังสารวัฏฏ์ จากความไม่รู้ทั้งสิ้นกี่ชาติ และมีโอกาสได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้อง ... ลึกซึ้งอย่างยิ่ง 45 พรรษา แต่ละคำ ... เราเข้าใจแค่ไหน!!
อย่าคิดว่าแค่นี้พอแล้ว และก็ไปปฏิบัติเพื่อที่จะได้รู้จักธรรมะ ... ไม่รู้จักแสงสว่าง ... ทำให้อยู่ในความมืดมานานในสังสารวัฏฏ์ ... นานแสนโกฏิกัปป์ก็ว่าได้ ... ทุกชาติแม้ในชาตินี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่ได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริงที่สูงสุด คือทุกคำสามารถเข้าใจได้เพราะเหตุว่ากำลังมี ... แต่ไม่สามารถเข้าใจด้วยตัวเอง
น้อยคนที่จะได้ฟังและเห็นประโยชน์ โดยเฉพาะคุณพฤฒเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงได้นำแสงของความสว่าง ซึ่งไม่ใช่ปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้ง แต่เริ่มรู้จักว่า แสงสว่างมีในความมืดที่ครอบคลุมโลกอยู่ รวมทั้งแต่ละบ้านที่ไม่ได้ฟังธรรมะด้วย ... นั่นไม่รู้จักแสงสว่างเลย และไม่รู้ว่าอยู่ในความมืด แต่คนที่ได้เห็นแสงสว่างเริ่มรู้ความจริงว่า อยู่ในความมืดทุกขณะที่ไม่รู้ความจริง
แสงสว่างของพระธรรมสว่างขึ้นเพราะพระปัญญาตรัสรู้ และพระมหากรุณาผู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าใจและเห็นประโยชน์ และได้ให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิดคือ คุณพ่อ คุณแม่และน้องชาย (คุณพชระ บุญญาสัย ตอนธรรมกับคนรุ่นใหม่) www.dhammahome.com/video/topic/6017
คุณพฤฒได้อัญเชิญแสงสว่างมาสู่ครอบครัว
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ทอจ : คิดว่าจะเข้าใจคนเดียวหรือเปล่า ... เมื่อได้เข้าใจแล้ว
คุณพฤฒ : คิดว่าจะดียิ่งกว่านี้ ถ้าได้แนะนำให้คนที่สามารถจะเข้าใจได้ๆ เข้าใจมากยิ่งขึ้น ไม่ควรที่จะเข้าใจคนเดียวครับ
ทอจ : เวลาที่เขาเริ่มสนใจและเข้าใจรู้สึกปิติยิ่งกว่าสิ่งใดๆ มั้ยคะ ยิ่งกว่าทรัพย์สินหรือสิ่งใดๆ ที่ได้มา
พ : จริงๆ มีความรู้สึกยินดีพอที่จะสังเกตได้ ตอนที่แนะนำผมไม่ได้มีความหวังมากมายเท่าไหร่ว่าเขาจะเข้าใจได้ ถ้าเข้าใจได้ก็ดี ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ทราบสิ่งที่แต่ละคนได้สะสมมาครับ
อ.อรรณพ : เป็นพี่น้องกันไม่ใช่พูดง่ายในสิ่งที่ยากที่สุด คือการเข้าใจความจริง คุณพฤฒเกื้อกูลหรือชักชวนเขาอย่างไร เขาจึงสนใจ
พ : เป็นข้อดีเพราะที่บ้านพูดกันตรงไปตรงมามาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม พื้นฐานนี้จึงอำนวยให้เวลาพูดอะไรก็แล้วแต่ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็สามารถพูดได้ครับ
ทอจ : แต่เริ่มอย่างไรก็แปลกนะคะกว่าจะตั้งต้น ... อย่างไรคะ!!
พ : ตอนนั้นโทรคุยกับน้องซึ่งเรียนมัธยมที่อเมริกา น้องสวดมนต์ ผมก็ถามว่าแปลได้ไหมแปลให้ฟังสิ ... ไม่คิดว่าจะทำให้น้องฉุกคิดว่า แปลไม่ได้ ที่ท่องกันอยู่เป็นภาษาบาลี ทำให้น้องฉุกคิดวันนั้นมากขึ้น พอน้องกลับบ้าน ผมฟังธรรมะต่อเข้าลำโพง ใครอยู่ตรงนั้นก็ได้ยิน หรือเวลานั่งรถไปด้วยกันก็เปิดฟังไปด้วย ก็ได้เข้าหูกันบ้าง คิดว่าสถานการณ์เหล่านี้ค่อยๆ ซึมซับให้ค่อยๆ สนใจทีละนิดๆ ครับ
ทอจ : เป็นวิธีที่ฉลาดและถูกต้อง ถ้าไม่มีปัญญาก็จะทำอีกแบบ ... พยายามที่จะให้คนอื่นเข้าใจ ไปเคี่ยวเข็ญต่างๆ แต่นี่ตามเหตุการณ์
พ : เวลาเขาเข้าใจก็บอกว่าเข้าใจ ถ้าเข้าใจนิดหน่อยก็บอกว่าเข้าใจนิดหน่อย ถ้าไม่เข้าใจก็บอกว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ทำให้เราในฐานะพี่ หรือว่าพ่อแม่ทราบเลยว่า ที่พูดไปเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เราสามารถมีวิธีอื่นในการพูด หรือพาเขาไปสนทนากับคนที่น่าจะทำให้เขาเข้าใจได้มากกว่าครับ
อ : คุณพชระน้องชายไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าเขาไม่เข้าใจ ผมจึงซาบซึ้งที่ทอจ. กล่าวว่า ความรู้เกิดขึ้นจากการรู้ว่าไม่รู้ก่อน
ทอจ : นี่เป็นการสะสมความเป็นผู้ตรงต่อความจริงและกล้าแสดงความจริงตามที่คิด ... คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นและถูกผิดอย่างไรก็จะได้สนทนากัน
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
อ.คำปั่น : ก่อนที่จะอัญเชิญแสงสว่างหรือพระธรรมมาสู่ครอบครัว คุณพฤฒก็ต้องได้ประโยชน์จากพระธรรมก่อน จุดเริ่มต้นของการศึกษาพระธรรมเริ่มเมื่อไหร่ ... อย่างไร ... เมื่อฟังแล้วเริ่มเห็นประโยชน์อย่างไรกับการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ผ่านคำสนทนาของท่านอาจารย์ครับ
พ : ความสนใจในพระพุทธศาสนามีมาตั้งแต่เด็ก ไม่ทราบว่าทำไมถึงสนใจ แต่รู้เพียงว่าตนเองสนใจ และพยายามทำความเข้าใจมาเรื่อยๆ เคยบวชเณรบวชพระ และฟังภิกษุ
ทอจ : คิดเองหรือเปล่าคะ ... ที่ไปบวชเณรบวชพระ หรือได้รับการชักชวน
พ : คิดเองด้วยและมีคนชักชวนด้วย อยากบวชด้วย พอบวชก็ทราบว่าคนที่ดำรงเพศบรรพชิตได้คงไม่ใช่เรา!!!
ทอจ : เพียงคิดว่าจะไปบวช แต่ไม่รู้ว่าบวชคืออะไร ... (ครับ) ... คิดว่าดีโดยไม่รู้ว่าดีอย่างไร ... (ไม่ทราบครับ) ... ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร เพราะยังไม่เคยฟัง ... คิดเองไม่ได้ ... (ใช่ครับ ตอนนั้นอายุ 20 ปีกำลังปิดเทอมอยู่ ... ยังไม่ได้ฟังครับ) ... แล้วระหว่างบวชล่ะคะ!!
พ : ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถเป็นภิกษุที่ดีได้ ... ด้วยข่อพระวินัยต่างๆ ผมคิดว่าผมเหมาะสมที่จะศึกษาพระธรรมแบบฆราวาสมากกว่าครับ
ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกทีละนิดตามลำดับ ถ้าเป็นภิกษุเลยน่าจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีครับ
ทอจ : น่าแปลก ... อายุไม่มากและสนใจพระธรรม แล้วยังไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย แต่สามารถพิจารณาเหตุผลได้ว่าอะไรถูกหรือผิด อะไรควรหรือไม่ควร และรู้อัธยาศัยของตัวเองด้วย
อ : ผมคิดว่าคุณพฤฒคงได้ฟังและศึกษาพระธรรมมาช่วงหนึ่งแล้ว ... ทำไมสนใจธรรมะ!!
พ : ขณะนี้คิดว่าสนใจเพราะเมื่อเข้าใจความจริงแล้วสามารถทำให้ความทุกข์ต่างๆ หรือความไม่เข้าใจหายไปได้ครับ
ทอจ : ตอนนั้นไม่มีทุกข์อะไรไม่ใช่หรือ!!
พ : ตอนนั้นทุกข์ก็คือ โกรธ ผิดหวังเสียใจ งอนหรืออะไรอย่างนี้ครับที่ชัดเจน
ทอจ : เข้าใจธรรมะแล้วรู้ไหมว่าเป็นทุกข์แล้ว!!
พ : ก่อนศึกษาเข้าใจทุกข์โดยความไม่แช่มชื่นของจิตใจครับ
ทอจ : นี่ก็เป็นคำตอบที่ตรงทุกอย่างแสดงถึงความเข้าใจในเหตุผล และพอจะรู้มั้ยว่า อะไรทำให้สนใจหรือสนใจมาเองตั้งแต่เด็ก
พ : ที่มาศึกษาช่วงปี 2 ปีนี้ เพราะเล่นโทรศัพท์อยู่บ้านแล้วปัดไปเจอ Facebook ของมูลนิธิพอดี ได้ยินคำว่าอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ และคำว่าแต่ละหนึ่ง ที่ทำให้สปาร์คขึ้นมาว่าต้องฟังต่อ เพราะก่อนหน้านี้เคยสังเกตความรู้สึกต่างๆ ว่ามันขึ้นมาเอง ความคิดก็มาเอง อะไรต่างๆ อยู่ดีๆ ก็เกิดเอง โดยไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์ให้มันมา ไม่อยากให้มาก็มา ... จะคิดก็คิด ... อะไรอย่างนี้ครับ
เคยตั้งข้อสังเกตนี้มาก่อน แต่ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น เก็บความสงสัยนี้มาสักพักหนึ่ง จนได้มาฟังคำเหล่านี้ คิดว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เคยสงสัย ... จึงฟังต่อมาเรื่อยๆ
อ : ผมชื่นชมที่คุณพฤฒมีเหตุมีผล ตอนเด็กๆ ผมก็สนใจ โชคดีที่ได้พบทอจ. .. ตั้งแต่เด็กๆ ก็ฟังมาเรื่อยๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง
เคยได้ยินไหมว่าสิ่งที่เกิดๆ จากเหตุปัจจัย!!!
พ : เคยครับและคิดว่าถูก
อ. ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัยให้เกิด เพราะฉะนั้น ที่คุณเกิดสปาร์คหรือเกิดความสะดุดจากได้ยินคำว่าอนัตตาและเป็นแต่ละหนึ่ง ... อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้คุณสปาร์ค ขณะที่คนทั่วไป ถ้าเลื่อนมาเจอก็คงปิด ... ไม่ฟัง
พ : ผมเป็นคนที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นานๆ มีความคิดแว๊บเข้ามาว่า ความบังเอิญไม่มีจริง สมัยเด็กๆ ดูการ์ตูนแล้วมีตัวนึงพูดว่าความบังเอิญไม่มีจริง พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้ามีผลก็คงต้องมีเหตุ คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ
ทอจ : แค่คำเดียวกระทบใจคนๆ ละแบบ ของคุณเป็นแบบเป็นเหตุเป็นผลที่จะคิดต่อไป บางคนแค่ดูแล้วสนุกดีลืมไปเลยว่าเขาพูดว่าอะไร ... ติดตามแต่เรื่องราว ... ก็ไม่เหมือนกันเลย
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ค : เหตุปัจจัยที่ทำให้สนใจศึกษาของแต่ละบุคคล ที่จะไม่ผิด จะไม่คลาดเคลื่อนเลยคืออย่างไร!!!
ทอจ : ก็อย่างที่สะสมมา
ค : อย่างที่คุณพฤฒกล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะได้สะสมเหตุมาแล้ว จึงได้ฟัง ได้ศึกษาคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้สะสมมาไม่มีโอกาสได้ฟังแน่นอน หรือได้ยินแล้วไม่สนใจ เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมเกิดมาก็จำไม่ได้ว่ากี่ชาติแล้ว ต้องเคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จึงสะดุดกับคำจริงที่ได้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น มีเหตุให้ได้ฟังแล้ว และศึกษามาเรื่อยๆ เพราะเห็นประโยชน์และยังอัญเชิญพระธรรมมาสู่ครอบครัว
คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าครอบครัวชวนมาบ้านท่านอาจารย์ วันนั้นคุณพ่อยังไม่มา มาเพียง 3 ท่าน คือ คุณแม่ คุณพฤฒและคุณพชระ ... ได้รับประโยชน์มากในวันนั้น ได้สนทนากับท่านอาจารย์ และเมื่อคุณแม่ได้ฟังแล้วก็กล่าวกับคุณพชระว่า ที่ผ่านมารู้เลยว่าเราไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ศึกษาต่อไปอีก
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
" ... ก็เป็นผู้ที่มั่นคงที่จะรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยั่งยืน เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ... "
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
การไม่ทำบาป นำความสุขมาให้
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
พระธรรมประดุจแสงสว่างในความมืด ขณะนี้เราทุกคนกำลังอยู่ในความมืด จนเมื่อได้เริ่มศึกษาธรรมะ ได้เข้าใจคำของพระพุทธองค์ เมื่อนั้นจึงพบแสงสว่าง ... เริ่มออกจากความมืด เห็นได้ว่าคุณพฤกษ์ บุญญาสัย หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะ เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ก็ไม่ละเลยที่จะเกื้อกูลสมาชิกในครอบครัว ให้มีความเข้าใจถูกตามไปด้วย เปรียบดั่งการอัญเชิญแสงสว่างมาสู่ครอบครัว
กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอถวายนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลธรรมทานค่ะ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ