ในปลิโพธ ก็มีข้อความในพระสูตรสั้นๆ ที่จะขอกล่าวถึง
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค นาคทัตตสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง ท่านพระนาคทัตตะ พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่ง ในแคว้นโกศล สมัยนั้นท่านพระนาคทัตตะเข้าไปสู่บ้านแต่เช้าตรู่ และกลับมาหลังเที่ยง ครั้งนั้น เทวดาผู้ที่สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ท่านพระนาคทัตตะ ใคร่จะให้ท่านสังเวช จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวแก่ท่านด้วยคาถาว่า
ท่านนาคทัตตะ ท่านเข้าไปแล้วในกาล และกลับมาในกลางวัน ท่านมีปกติเที่ยวไปเกินเวลา คลุกคลีกับคฤหัสถ์ พลอยร่วมสุขร่วมทุกข์กับเขา เราย่อมกลัวพระนาคทัตตะ ผู้คะนองสิ้นดี และพัวพันในสกุลทั้งหลาย ท่านอย่าไปสู่อำนาจของมัจจุราชผู้มีกำลัง กระทำซึ่งที่สุดเลย
ลำดับนั้น ท่านพระนาคทัตตะ เป็นผู้อันเทวดานั้นให้สังเวช ถึงซึ่งความสลดใจแล้ว
ที่กล่าวถึงท่านพระนาคทัตตะ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้เป็นภิกษุ พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่ง กิเลสความกังวลที่เป็นกุลปลิโพธก็ยังมี เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ว่าท่านจะละกุลปลิโพธ หรือปลิโพธอื่นๆ ให้หมดแล้ว จึงจะเจริญสติปัฏฐาน เพราะไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในป่า เป็นภิกษุมีกิเลส ก็ยังมีปลิโพธ
อีกสูตรหนึ่ง ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค วัชชีปุตตสูตรที่ ๙ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง ภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่ง ใกล้เมืองเวสาลี สมัยนั้น วาระแห่งมหรสพตลอดราตรีทั้งปวง ย่อมมีในเมืองเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุนั้นได้ฟังเสียงกึกก้องแห่งดนตรี อันบุคคลตีและบรรเลงแล้วในเมืองเวสาลี คร่ำครวญอยู่ ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า ...
ที่มา และ รับฟังเพิ่มเติม ...
ข้อความในพระสูตรสั้นๆ ที่กล่าวถึงปลิโพธ