ขอรบกวนสอบถามท่านวิทยากรครับ
คือผมเคยอ่านพระสูตรหนึ่ง ที่ว่าด้วยเรื่อง น่าจะเป็นของอุบาสกท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระสกิทาคามี แต่ท่านเข้าใจว่า ท่านละราคะ โทสะ สิ้นแล้ว แต่บางคราวก็ยังเกิดขึ้นแก่ท่าน ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเรียนถามว่า ก็ทำไม บางคราว ราคะ โทสะ ยังเกิดแก่ท่าน นี้เพราะเหตุไร
อยากขอเรียนถามว่า พระสูตรดังกล่าวชื่อพระสูตรอะไรครับ พอดีพยายามค้นหาแล้วแต่หาไม่พบ
----
ขอรบกวนเรียนถามต่ออีกคำถามครับ ก็พระเสขบุคคล ยังมีความไม่ทราบหรือครับ ว่ากิเลสใดท่านยังไม่ได้ละ หรือเข้าใจว่าท่านละกิเลสชนิดนั้นๆ ได้แล้ว เพราะปัจจเวกขณญาณ ย่อมพิจารณาธรรมทั้งหมด 5 ขณะ คือ มรรค ผล กิเลสที่ดับแล้ว กิเลสที่ยังเหลือ และพระนิพพาน
จึงขอรบกวนเรียนถามมา ณ ที่นี้ครับ
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 135
๔. จูฬทุกขักขันธสูตร
[๒๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่. ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ. ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะทรงพระนามว่า มหานาม เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เข้าใจข้อธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมานานแล้วอย่างนี้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ ต่างเป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนั้น โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้เป็นครั้งคราว ข้าพระองค์เกิดความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ธรรมชื่ออะไรเล่า ที่ข้าพระองค์ยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้เป็นครั้งคราว.
[๒๑๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหานาม ธรรมนั้นนั่นแล ท่านยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้ โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำจิตของท่านไว้ได้เป็นครั้งคราว. ดูก่อนมหานาม ก็ธรรมนั้นจักเป็นอันท่านละได้เด็ดขาดในภายในแล้ว. ท่านก็ไม่พึงอยู่ครองเรือน ไม่พึงบริโภคกาม. แต่เพราะท่านละธรรมเช่นนั้นยังไม่ได้เด็ดขาดในภายใน ฉะนั้น ท่านจึงยังอยู่ครองเรือน ยังบริโภคกาม.
สำหรับ ที่ถามว่า พระอริยบุคคล ไม่รู้หรือว่า กิเลสที่ละได้แล้ว หรือ ยังไม่ได้ละ ซึ่งพระสูตรนี้ อรรถกถาแสดงว่า พระสกทาคามีไม่รู้ว่ามีกิเลสที่ท่านยังไม่ได้ละ เพราะไม่ฉลาดในบัญญัติ คือ ไม่ได้เรียนปริยัติ และ พระอริยบุคคลแต่ละท่าน ความรอบรู้ก็แตกต่างกัน คือ สามารถกำหนดได้ บางส่วน ไม่ได้บางส่วน เพราะไม่ฉลาดในเรื่องราว จึงเกิดความสงสัยได้ แต่ ขณะที่เกิดปัจจเวกขณญาณ ก็รู้ความจริงในขณะนั้นและก็ดับไป แต่สงสัย ในเรื่องราว บัญญัติได้ ครับ ตามที่กล่าวมา
ดังอรรถกถาที่ว่า
[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 146
บทว่าเยน เม เอกทา โลภธมฺมาปิ ความว่า ทรงทูลถามว่า แม้โลภธรรมทั้งหลายยังครอบงำจิตของข้าพระองค์ไว้ได้ในบางเวลา เพราะเหตุใด. ได้ยินว่า พระราชานี้ทรงมีความสำคัญว่า โลภะ โทสะ และโมหะ ได้ละหมดไม่มีเหลือด้วยสกทาคามิมรรค. พระราชานี้ทรงรู้ว่า สิ่งที่ยังละไม่ได้ของเรามีอยู่ ทรงถือเอาสิ่งที่ยังละไม่ได้ เป็นผู้มีความสำคัญว่า สิ่งที่ละได้แเล้วย่อมเป็นไปภายหลัง ดังนี้. พระอริยสาวกเกิดความสงสัยอย่างนี้หรือ. เออ ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น. เพราะเหตุไร. เพราะความเป็นผู้ไม่ฉลาดในบัญญัติ.
จริงอยู่ แม้อริยสาวกผู้ไม่ฉลาดในบัญญัตินี้ว่า กิเลสนี้ถูกฆ่าด้วยมรรคโน้น ย่อมมีความสงสัยอย่างนี้. อริยสาวกนั้นไม่มีการพิจารณาหรือ. มี แต่การพิจารณานั้น ย่อมไม่บริบูรณ์แก่อริยสาวกทั้งปวง. ด้วยว่า บางคนพิจารณาเฉพาะกิเลสที่ละได้แล้วเท่านั้น บางคนพิจารณากิเลสที่ไม่ละเอียดเท่านั้น บางคนพิจารณาเฉพาะมรรค บางคนพิจารณาเฉพาะผล บางคนพิจารณาเฉพาะนิพพาน ก็ในการพิจารณา ๕ ประการนี้ การพิจารณาประการหนึ่ง หรือสองประการ ไม่ควรเพื่อจะได้ก็หามิได้ ด้วยประการฉะนี้ อริยสาวกผู้ใดมีการพิจารณาไม่บริบูรณ์ อริยสาวกนั้นย่อมมีความสงสัย อย่างนี้ เพราะความเป็นผู้ไม่ฉลาดในกิเลสบัญญัติ อันพึงฆ่าด้วยมรรค.
กราบขอบพระคุณ อ.ผเดิม ครับผม
ขอบพระคุณ อ.ผเดิม ครับ และ ขออนุโมทนในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
พระสกทาคามี กิเลสของท่านเบาบาง แต่ยังต้องศึกษาธรรม จนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ