ถึง ... คุณแล้วเจอกันที่นับถือ
คำตอบของคุณคล้ายเดาใจผู้ถามได้ ผู้ถามจึงได้รับประโยชน์มากจากไหวพริบและความใส่ใจ รวมทั้งความขยันในการค้นคว้า กรุณาอธิบายเป็นภาษาที่เข้าใจได้.จักขอบพระคุณมากเพราะข้าพเจ้าพิมพ์ไม่เก่ง อ่านพระสูตรไม่ค่อยเข้าใจ บางความเห็นของท่าน ช่วยคลายความสงสัยโดยไม่ต้องถาม (เพราะถามไม่ถูก) แสดงความเห็นบ่อยๆ ต้องพึ่งปัญญาของท่านแล้วละ ขอบพระคุณอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนา คุณพุทธรักษาที่สนใจพระธรรมครับ
เรื่อง จงมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่งคือการเจริญสติปัฏฐาน
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 274
ข้อความบางตอนจาก มหาปรินิพพานสูตร
ทรงแสดงเรื่องมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นสรณะ ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อย่างไร
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากายในกาย เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย . . . พิจารณาจิตในจิต. . . พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ด้วยอาการอย่างนี้แล
ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี โดยการที่เราตถาคตล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาเหล่านี้นั้น จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณมาก ที่เตือนสติว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วจะจำไว้ค่ะ.
กุศลทุกอย่งเป็นที่พึ่ง พึ่งตนเอง คือปัญญา อ่านพระไตรปิฏก ฟังธรรม เป็นทั้งกัลยาณมิตรและที่พึ่งที่ดีที่สุดค่ะ
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาที่สนใจธรรมะค่ะ จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การจะอบรมปัญญา ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม กัลยาณมิตร การสนทนา สอบถามเพื่อความเข้าใจที่ยังไม่ถูกให้ถูกขึ้น หรือที่ถูกขึ้นแล้วก็ให้่มั่นคงขึ้นครับ เมื่อมีความเข้าใจเจริญขึ้น (ปัญญาเจริญ) ปัญญาของตนเองนั่นแหละจะเป็นที่พึ่งของตนเอง มิใช่ปัญญาของคนอื่นที่จะสามารถดับกิเลสได้ครับ
ดังนั้น ตนจึงเป็นที่พึ่งของตนก็เพราะปัญญาของตนเองดับกิเลสของตนเองครับ แต่ปัญญาระดับไหนหละที่จะดับกิเลสได้ถ้าไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น ระลึกสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ ดังข้อความในพระสูตร ข้างต้นที่ว่ามีธรรมเป็นเกาะคือการเจริญสติปัฏฐาน
การที่เกิดมาพบกันในแต่ละชาติ โดยสถานต่างๆ ในสังสารวัฏฏ์ การพบกันในชาติซึ่งได้เกื้อกูลเป็นมิตรกันในพระธรรม หรือว่ามีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏฏ์ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ
ข้อความบางตอนจาก คำบรรยายเรื่อง บารมีในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ไม่ทิ้งกัน ตราบจนกว่าจะสิ้นกิเลส
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านอย่างสูง
ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วค่ะ ว่าการศึกษโดยตรงจากพระพุทธดำรัส มีประโยชน์มาก (แม้จะไม่คุ้น แต่ถ้ามีความเพียรก็จะคุ้นไปเอง) จากพระสูตร เห็นได้ชัดว่าถ้าจะพูดถึงกิเลสแล้วคนในสมัยไหน ก็เหมือนกัน ข้าพเจ้าขอขอบคุณสหายธรรมทุกท่านที่กรุณาค้นคว้าพระสูตรมาให้อ่าน ถ้าคาถาไหนยังไม่เข้าใจ คงต้องรบกวนเรียนถามกรุณาชี้แนะด้วยนะคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
คิดมากห้ามไม่ได้ เพราะสะสมมา แต่คิดมาก ในพุทธศาสนาก็สมควร
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ