[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 423
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
สุนทริกสูตรที่ ๔
ว่าด้วยการถามปัญหาเกี่ยวกับชาติโคตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 423
สุนทริกสูตรที่ (๑) ๔
ว่าด้วยการถามปัญหาเกี่ยวกับชาติโคตร
[๓๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา แคว้นโกศลชนบท ก็สมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์บูชาไฟ บำเรอการบูชาไฟอยู่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา. ครั้งนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ครั้นบูชาไฟบำเรอไฟแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะ เหลียวดูทิศทั้งสี่โดยรอบด้วยคิดว่า ใครหนอแล ควรบริโภคข้าวปายาสที่เหลือนี้ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ทรงคลุมพระกายตลอดพระเศียรอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงถือเอาข้าวปายาสที่เหลือด้วยมือซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยมือข้างขวา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปิดพระเศียรออก เพราะเสียงฝีเท้าของสุนทริกภารทวาชพราหมณ์. ครั้งนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์คิดว่า ท่านผู้นี้เป็นคนโล้นๆ ดังนี้แล้ว ปรารถนาจะกลับจากที่นั้น. ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ดำริว่า แม้พราหมณ์บางพวกในโลกนี้ก็เป็นคนโล้น ผิฉะนั้นเราพึงเข้าไปถามถึงชาติ ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านมีชาติอย่างไร.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ด้วยพระคาถาว่า
๑. อรรถกถาเป็น ปูรฬาสสตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 424
[๓๕๙] เราไม่ใช่พราหมณ์ ไม่ใช่ราชโอรส ไม่ใช่แพศย์หรือใครๆ เรากำหนดรู้โคตรของปุถุชนแล้ว ไม่มีความกังวล เที่ยวไปด้วยปัญญาใน เรานุ่งห่ม (ไตรจีวร) สังฆาฏิ ไม่มีเรือน ปลงผมแล้ว มีตนดับความเร่าร้อนแล้ว ไม่คลุกคลีกับด้วยมนุษย์ (มาณพ) ทั้งหลายในโลกนี้ เที่ยวไปอยู่ ท่านถามถึงปัญหาเกี่ยวด้วยโคตรอันไม่สมควรกะเรา.
ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญพวกพราหมณ์ย่อมถามกับพวกพราหมณ์ด้วยกันว่าท่านเป็นพราหมณ์หรือหนอ ถ้าว่าท่านกล่าวว่าเรา เป็นพราหมณ์ แต่ท่านกล่าวกะเราผู้มิใช่พราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราขอถามสาวิตรี ซึ่งมีบท ๓ มีอักขระ ๒๔ กะท่าน.
พราหมณ์ทูลถามว่า
พวกฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ และพราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้ อาศัยอะไร ได้กำหนดยัญแก่เทวดาทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 425
เราขอบอกว่าผู้ถึงที่สุดทุกข์ ถึงที่สุดเวท จะพึงได้เครื่องบูชา ในเมื่ออาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดเข้าไปตั้งไว้ในกาลแห่งยัญ ยัญกรรมของผู้นั้นพึงสำเร็จ.
พราหมณ์ทูลว่า
การบูชาของข้าพเจ้านั้น พึงสำเร็จเป็นแน่แท้ เพราะข้าพเจ้าได้พบบุคคลผู้ถึงเวทเช่นนั้น อันที่จริง คนอื่นย่อมได้บริโภคเครื่องบูชา เพราะไม่ได้พบบุคคลผู้เช่นท่าน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เพราะเหตุนั้นแหละพราหมณ์ ท่านผู้มีความต้องการด้วยประโยชน์ จงเข้าไปถามเถิด ท่านจะพบผู้มีปัญญาดี ผู้สงบ ไม่มีความโกรธ ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ในศาสนานี้แน่แท้.
พราหมณ์ทูลว่า
(ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ) ข้าพเจ้ายินดีแล้วในยัญ ใคร่จะบูชายัญ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ทราบชัด ขอท่านจงพร่ำสอนข้าพเจ้าเถิด ขอท่านจงบอกซึ่งที่เป็นที่สำเร็จแห่งการบูชาแก้ข้าพเจ้าเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 426
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงเงี่ยโสตลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านอย่าถามถึงชาติ จงถามแต่ธรรมสำหรับประพฤติเถิด ไฟย่อมเกิดแต่ไม้แล แม้ผู้ที่เกิดในสกุลต่ำ เป็นมุนีมีปัญญา เป็นผู้เกียดกันอกุศลวิตกด้วยหิริ รู้เหตุการณ์ได้โดยฉับพลันก็มี.
พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ พึงบูชา พึงหลั่งไทยธรรมในทักขิไณยบุคคลผู้ที่ฝึกตนด้วยสัจจะ ผู้ประกอบด้วยการฝึกฝนอินทรีย์ ผู้ถึงที่สุดแห่งเวท ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ตามกาล.
ชนเหล่าใดละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ยึดมั่นอะไรๆ เที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่ไปตรง ฉะนั้น พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึงบูชา พึงหลั่งไทยธรรม ในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดปราศจากราคะ มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว หลุดพ้นแล้วจากการจับของกิเลส เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์ที่พ้นแล้วจากการเบียดเบียนของราหู สว่างไสว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 427
อยู่ ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดไม่เกี่ยวข้อง มีสติทุกเมื่อ ละนามรูป ที่คนพาลถือว่าเป็นของเราได้แล้วเที่ยวไปในโลก พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมในชนเหล่านั้นตามกาล.
พระตถาคตละกามทั้งหลายได้แล้ว ครอบงำกามทั้งหลายเที่ยวไป รู้ที่สุดแห่งชาติและมรณะ ดับความเร่าร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นเหมือนห้วงน้ำ ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อยู่ห่างไกลจากบุคคลผู้ไม่เสมอทั้งหลาย เป็นผู้มีปัญญาไม่มีที่สุด ผู้อันตัณหาทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้วในโลกนี้หรือในโลกอื่น ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตผู้เป็นพราหมณ์ ไม่มีมายา ไม่มีมานะ ปราศจากความโลภ ไม่ยึดถือในสัตว์และสังขารว่าเป็นของเรา หาความหวังมิได้ บรรเทาความโกรธแล้ว มีตนดับความเร่าร่อนได้แล้ว ละมลทิน คือ ความโศกเสียได้ ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 428
พระตถาคตละตัณหาและทิฏฐิที่อยู่ประจำใจได้แล้ว ไม่มีตัณหาและทิฏฐิอะไรๆ ไม่ถือมั่นในโลกนี้หรือในโลกอื่น ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตมีจิตตั้งมั่นแล้ว ข้ามโอฆะได้แล้ว และได้รู้ธรรมด้วยทิฏฐิอย่างยิ่ง มีอาสวะสิ้นแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ย่อมควรเครื่องบูชา.
ภวาสวะและวาจาหยาบคาย อันพระตถาคตกำจัดได้แล้ว ทำให้สิ้นสูญ ไม่มีอยู่ พระตถาคตผู้ถึงเวท พ้นวิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตผู้ล่วงกิเลสเครื่องข้อง ไม่มีธรรมเป็นเครื่องข้อง ไม่เป็นสัตว์ผู้มีมานะในเหล่าสัตว์ผู้มีมานะ กำหนดรู้ทุกข์ พร้อมทั้งไร่นาและที่ดินย่อมควรเครื่องบูชา.
พระคถาคตไม่อาศัยตัณหา มีปรกติเห็นนิพาน ก้าวล่วงทิฏฐิที่จะพึงให้ผู้อื่นรู้ ไม่มีอารมณ์อะไรๆ ย่อมควรเครื่องบูชา.
ธรรมทั้งที่เป็นภายในและภายนอก พระตถาคตแทงตลอดแล้ว กำจัดได้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 429
ถึงความสาบสูญมิได้มี พระตถาคตนั้นเป็นผู้สงบแล้ว น้อมไปในธรรม เป็นที่สิ้นอุปาทาน ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตเห็นที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งชาติ บรรเทาสังโยชน์อันเป็นทางแห่งราคะเสียได้ไม่มีส่วนเหลือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีโทษ ปราศจากมลทิน ไม่มีความใคร่ ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตไม่พิจารณาเห็นตนโดยความเป็นตน มีจิตตั้งมั่น ปฏิบัติตรง ดำรงตนมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ ไม่มีความสงสัย ย่อมควรเครื่องบูชา.
พระตถาคตไม่มีปัจจัยแห่งโมหะ อะไรๆ เห็นด้วยญาณในธรรมทั้งปวง ทรงไว้ซึ่งสรีระมีในที่สุด และได้บรรลุสัมโพธิญาณที่ยอดเยี่ยม อันเกษม ความบริสุทธิ์ของบุรุษ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ (พระตถาคตย่อมควรเครื่องบูชา).
พราหมณ์ทูลว่า
การบูชาของข้าพระองค์ จะเป็นการบูชาจริง เพราะว่า ข้าพระองค์ได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 430
บุคคลผู้ถึงเวทเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพรหม ผู้เห็นเองแท้ ขอได้โปรดทรงรับทรงบริโภคเครื่องบูชาของข้าพระองค์เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่พึงบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา ข้อนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงเห็นอยู่โดยชอบ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงห้ามโภชนะที่ขับกล่อมได้มา.
ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ การแสวงหาเป็นความประพฤติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ท่านจงบำรุงพระขีณาสพผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้มีความคนองสงบแล้ว ด้วยข้าวน้ำอย่างอื่นเถิด เพราะว่าเขตนั้นเป็นเขตของบุคคลผู้มุ่งบุญ.
พราหมณ์ทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ถึงคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว พึงรู้แจ่มแจ้งอย่างที่พระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 431
ตรัสบอก ขอพระองค์จงทรงแสดงทักขิไณยบุคคลผู้บริโภคทักขิณา ของบุคคลผู้เช่นกับข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะพึงแสวงหาบำรุงอยู่ ในกาลแห่งยัญ แก่ข้าพระองค์เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ท่านจงกำจัดความสยิ้วหน้า จงประคองอัญชลีนอบน้อมผู้ที่ปราศจากความแข่งดี ผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวหลุดพ้นแล้วจากกามทั้งหลาย บรรเทาความง่วงเหงาเสียแล้ว นำกิเลสออกเสียได้ ผู้ฉลาดในชาติและมรณะ ผู้นั้นเป็นมุนี สมบูรณ์ด้วยปัญญา ผู้มีแล้วสู่ยัญเช่นนั้น จงบูชาด้วยข้าวและน้ำเถิด ทักขิณาย่อมสำเร็จได้ด้วยอาการอย่างนี้.
พราหมณ์ทูลว่า
พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ที่บุคคลควรบูชาในโลกทั้งปวง เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม ย่อมควรเครื่องบูชา ท่านที่บุคคลถวายแล้วแด่พระองค์ เป็นทานมีผลมาก.
[๓๖๐] ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 432
พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระองค์ กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระองค์เถิด สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ก็ท่านสุนทริกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉะนั้นแล.
จบสุนทริกภารทวาชสูตรที่ ๔
อรรถกถา ปูรฬาสสูตรที่ (๑) ๔
ปูรฬาสสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
ถามว่า พระสูตรนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ภายหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ชื่อสุนทริกภารทวาชะถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ทรงทราบว่า เมื่อเราไป ณ ที่นั้น จักได้สนทนากัน จากนั้นเมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง พราหมณ์นั้นฟังธรรมเทศนาแล้วจักบวช แล้วจักบรรลุพระอรหัต ดังนี้ จึงเสด็จไป ณ ที่นั้น เริ่มสนทนากัน ได้ตรัสพระสูตรนี้.
๑. บาลีเป็นสุนทริกสูตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 433
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์. บทว่า กึชจฺโจ ภวํ ท่านมีชาติอย่างไร ดังนี้ เป็นคำของพราหมณ์นั้น. คำมีอาทิว่า
น พฺราหฺมโณ โนมฺหิ น ราชปุตฺโต น เวสฺสายโน อุท โกจิ โนมฺหิ โคตฺตํ ปริญฺาย ปุถุชฺชนานํ อกิญฺจโน มนฺตจรามิ โลเก.
เราไม่ไช่พราหมณ์ ไม่ใช่ราชโอรส ไม่ใช่แพศย์หรือใครๆ เรากำหนดรู้โคตรของปุถุชนแล้ว ไม่มีความกังวลเที่ยวไปด้วยปัญญาในโลก ดังนี้.
เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ประมวลเรื่องทั้งหมดนั้นเรียกว่า ปูรฬาสสูคร. พึงทราบบทเช่นเดียวกันกับที่กล่าวในสูตรนั้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. เราจักพรรณนาบทที่ยังไม่กล่าวไว้. และจะไม่แตะต้องบทที่มีความง่ายเลย. บทว่า โกสเลสุ ได้แก่ พระราชกุมารชาวชนบทชื่อว่า โกสล. ชนบทหนึ่งเป็นที่ประทับของพระราชกุมารเหล่านั้น ท่านเรียกว่าโกสลด้วยรุฬหีศัพท์. ในแคว้นโกศลชนบทนั้น. แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาไว้ว่า ครั้งก่อน พระราชาทรงสดับว่า มหาปนาทราชกุมารทอดพระเนตรการฟ้อนรำแล้วไม่ทรงแสดงอาการแม้เพียงทรงพระสรวล จึงรับสั่งว่า ผู้ใด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 434
ทำโอรสของเราให้หัวเราะได้ เราจะให้เครื่องสรรพาภรณ์กะผู้นั้น. แต่นั้นหมู่มหาชนทิ้งไถประชุมกัน พวกมนุษย์แม้แสดงการเล่นต่างๆ เกิน ๗ ปี ก็ไม่สามารถให้พระราชกุมารนั้นทรงพระสรวลได้ ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงส่งนักฟ้อนที่เป็นเทพดาไป. นักฟ้อนที่เป็นเทพดาแสดงการฟ้อนที่เป็นทิพย์แล้ว ทำให้พระราชกุมารทรงพระสรวลได้. พวกมนุษย์เหล่านั้นจึงพากันกลับที่อยู่ของตนๆ. พวกมนุษย์เห็นมิตรและสหายเป็นต้นสวนทางมาได้ทำปฏิสันถารว่า สบายดีอยู่ดอกหรือท่าน สบายดีอยู่ดอกหรือท่าน ดังนี้. เพราะฉะนั้น ประเทศนั้นจึงเรียกว่า โกสละ หมายถึงเสียงว่า กุสลํ กุสลํ นั้น. บทว่า สุนฺทริกาย นทิยา ตีเร คือ ที่ฝั่งแม่น้ำอันมีชื่อย่างนี้ว่า สุนทริกา. บทว่า เตน โข ปน ได้แก่ โดยสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงแนะนำพราหมณ์นั้น จึงเสด็จไปประทับด้วยอิริยาบถนั่งทรงห่มคลุมพระเศียร ณ โคนต้นไม้ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น.
บทว่า สุนฺทริกภารทฺวาโช ได้แก่ พราหมณ์นั้นอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้นและบูชาไฟอยู่. อนึ่ง ภารทวาชะเป็นชื่อโคตรของพราหมณ์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า อคฺคึ ชูหติ ได้แก่ ให้ไฟโพลงด้วยการใส่เครื่องบูชา. บทว่า อคฺคิหุตํ ปริจรติ บำเรอการบูชาไฟ คือ เข้าไปยังที่ก่อไฟด้วยการกวาด ลูบไล้ และพลีกรรมเป็นต้น. บทว่า โก นุ โข อิมํ หพฺยเสสํ ภุญฺเชยฺย ใครหนอควรบริโภคข้าวปายาสที่เหลือนี้ ความว่า นัยว่าพราหมณ์นั้นบูชาไฟเห็นข้าวปายาสที่เหลือ จึงคิดว่ามหาพรหมบริโภคข้าวปายาสที่ใส่ลงไปในไฟ แต่ข้าวปายาสนี้ยังมีเหลืออยู่ ผิว่าเราพึงให้ข้าวปายาสนั้นแก่พราหมณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 435
ผู้เกิดจากปากของพรหม แม้บุตรพร้อมด้วยบิดาของเราก็จะพึงอิ่มหนำ, ทางไปสู่พรหมโลก พึงเป็นทางที่เราชำระไว้ดีแล้ว เอาเถิดเราจะแสวงหาพราหมณ์. ลำดับนั้น ภารทวาชพราหมณ์ลุกจากที่นั่งเพื่อหาพราหมณ์ เหลียวดูทิศทั้งสี่ด้วยคิดว่า ใครหนอ ควรบริโภคข้าวปายาสที่เหลือนี้. บทว่า อญฺตรสฺมึ รุกฺขมูเล ได้แก่ ที่โคนไม้ต้นอันประเสริฐ ณ ไพรสณฑ์นั้น. บทว่า สสีสํ ปารุตํ คือ คลุมกายตลอดศีรษะ. ก็เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจงได้ทรงทำอย่างนั้น. เหตุมีอยู่ว่า แม้ผู้มีกำลังเทียบพระนารายน์ก็ไม่สามารถจะห้ามหิมะตก หรือความหนาวและลมได้ จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงประคับประคองพระวรกายด้วยประการทั้งปวงก็จริง ถึงดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า เมื่อพราหมณ์มาหาจักเปิดศีรษะ ครั้นพราหมณ์เห็นเราก็จักสนทนากัน เมื่อเป็นดังนั้น เราจักแสดงธรรมโดยให้พราหมณ์คล้อยไปตามคำของเรา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นเพื่อสนทนากัน. บทว่า ทิสฺวาน วาเมน ฯเปฯ เตนุปสงฺกมิ พราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งทรงคลุมพระกายตลอดพระเศียรอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง จึงถือเอาข้าวปายาสที่เหลือด้วยมือซ้าย ถือน้ำเต้าด้วยมือขวา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ความว่า นัยว่าพราหมณ์นั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วคิดว่า ท่านผู้นี้คลุม ตลอดศีรษะประกอบความเพียรตลอดคืน เราจักให้ทักษิโณทกแล้วให้ข้าวปายาสที่เหลือนี้ สำคัญว่าเป็นพราหมณ์จึงเข้าไปหา. บทว่า มุณฺโฑ อยํ ภวํ มุณฺฑโก อยํ ภวํ ท่านผู้นี้เป็นคนโล้นๆ ความว่า พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเปิดพระเศียร พราหมณ์เห็นพระเกสาจึงกล่าวว่า มุณฺโฑ คนโล้น. พราหมณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 436
มองดูอย่างถี่ถ้วนไม่เห็นปลายพระเกศา แม้แต่น้อยจึงเหยียดหยามกล่าวว่า มุณฺฑโก คนโล้นเลี่ยนดังนี้. ด้วยว่า พราหมณ์เหล่านั้นมีทิฏฐิเห็นปานนี้. บทว่า ตโต จ ได้แก่จากที่ที่ยืนอยู่แล้วได้เห็น. บทว่า มุณฺฑาปิ โหนฺติ ได้แก่ แม้พราหมณ์บางพวกก็เป็นคนโล้นด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง.
น อักษรในบทว่า น พฺราหฺมโณ โนมฺหิ นี้ ลงในความปฏิเสธ. โน อักษรลงในอวธารณะ (ห้ามความอื่น) ดุจในประโยค น โน สมํ ทรัพย์ นั้นไม่เสมอด้วยพระตถาคต ดังนี้เป็นต้น. ด้วยบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เรามิใช่พราหมณ์ดังนี้. บทว่า น ราชฺปุตโต เราไม่ใช่ราชโอรส. บทว่า น เวสฺสายโน เราไม่ใช่แพศย์. บทว่า อุท โกจิ โนมฺหิ ศูทรหรือจัณฑาล หรือใครๆ แม้อื่นๆ เราก็ไม่เป็น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการอ้างคำพูดว่าโดยชาติอย่างสิ้นเชิงอย่างนี้. เพราะเหตุไร เพราะกุลบุตรผู้ได้บรรพชาแล้ว ย่อมสละชื่อและโคตรที่มีมาก่อน เหมือนแม่น้ำไหลลงสู่มหาสมุทรฉะนั้น. ปหาราทสูตรเป็นตัวอย่างในข้อนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านคำกล่าวถึงชาติอย่างนี้ ทรงเปิดเผยพระองค์ตามความเป็นจริง ตรัสว่าเรากำหนดรู้โคตรของปุถุชนแล้วไม่มีความกังวล เที่ยวไปด้วยปัญญาในโลก ดังนี้. หากมีคำถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดรู้โคตรอย่างไรเล่า. ตอบว่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดเบญจขันธ์ทั้งหลายด้วยปริญญาสาม เมื่อทรงกำหนดรู้เบญจขันธ์เหล่านั้นแล้ว เป็นอันทรงกำหนดรู้โคตรนั่นเอง. พระองค์ไม่มีความกังวล เพราะไม่มีความกังวลมีราคะเป็นต้น. พระองค์ทรงรู้ด้วยปัญญา เที่ยวไปด้วยกายกรรมเป็นต้น อันหมุนไปตามญาณทั้งหลาย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 437
จึงตรัสว่า โคตฺตํ ฯเปฯ โลเก ดังนี้. ปัญญาท่านเรียกว่า มนฺตา. พระองค์เที่ยวไปด้วยปัญญานั้น. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า มนฺตจรามิ โลเก ทำเป็นรัสสะด้วยอำนาจของฉันท์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น ทรงเปิดเผยพระองค์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อทรงค้านคำของพราหมณ์ ด้วยพระดำรัสว่า ท่านเห็นบุคคลผู้มีเพศอันประเสริฐอย่างนี้แล้ว ยิ่งไม่ทราบคำที่ควรถามหรือไม่ควรถาม จึงตรัสว่า สงฺฆาฏิวาสี ฯเปฯ โคตฺตปญฺหํ.
เรานุ่งห่มไตรจีวร ไม่มีเรือน ปลงผมแล้ว มีตนดับความเร่าร้อนแล้ว ไม่คลุกคลีกับมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ เที่ยวไปอยู่ ท่านถามถึงปัญหา เกี่ยวด้วยโคตรอันไม่สมควรกะเรา.
ก็ในคาถานี้มีอธิบายดังนี้ จีวรแม้ ๓ ผืนท่านเรียกว่า สังฆาฏิ เพราะตัดต่อกัน. ชื่อว่า สงฺฆาฏิวาสี เพราะนุ่งห่มจีวรเหล่านั้น. บทว่า อคโห แปลว่า ไม่มีเรือน. อธิบายว่า ไม่มีตัณหา. ก็เรือนที่ประทับในพระเชตวันของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีมากมายเป็นต้นว่ามหาคันธกุฎี โรงมณฑลใต้ต้นกุ่มน้ำ กุฎีต้นมะกอก โรงไม้จันทร์ ไม่ควรหมายเอาถึงเรือนประทับนั้น. บทว่า นิวุตฺตเกโส ได้แก่ ปลงผม. อธิบายว่า ปลงผมและหนวด. บทว่า อภินิพฺพุตตฺโต ได้แก่ มีจิตสงบจากความเร่าร้อนหรือมีจิตคุ้มครองแล้ว. บทว่า อลิมฺปมาโน อิธ มาณเวหิ ไม่คลุกคลีกับมนุษย์ คือ ไม่ติดไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เพราะละความเยื่อใยในของใช้ได้แล้ว คือ อยู่อย่างสงัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 438
ส่วนเดียว. บทว่า อกลฺลํ มํ พฺราหฺมณ ท่านถามปัญหาเกี่ยวด้วยโคตร อันไม่สมควรกะเรา ความว่า เรานุ่งห่มไตรจีวรอย่างนี้ ฯลฯ ไม่คลุกคลีด้วยมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านถามปัญหาเกี่ยวด้วยโคตรอันไม่สมควรกะเราผู้เป็นสมณะเพื่ออะไร.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อจะปลดเปลื้องคำติเตียนจึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ย่อมถามกับพวกพราหมณ์ด้วยกันว่า ท่านเป็นพราหมณ์หรือหนอ.
ในบทเหล่านั้นบทว่า พฺราหฺมโณ โน ความว่าท่านเป็นพราหมณ์หรือหนอ. ท่านอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ เราจะไม่ถามสิ่งไม่สมควร ในสมัยที่เราเป็นพราหมณ์ พวกพราหมณ์มาประชุมกันกับพวกพราหมณ์ แล้วถามถึงชาติบ้าง โคตรบ้างอย่างนี้ว่า ท่านเป็นพราหมณ์หรือหนอ ท่านเป็นพราหมณ์ภารทวาชโคตรหรือหนอ ดังนี้.
ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศความที่พระองค์ทรงรู้ชัดในมนต์ทั้งหลาย เพื่อจะทำให้พราหมณ์มีจิตอ่อน จึงตรัสว่า
พฺราหฺมโณ เจ ตฺวํ พฺรูสิ ฯเปฯ จตุวีสตกฺขรํ
หากท่านกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ แต่ท่านกล่าวกะเราผู้มิใช่พราหมณ์ เพราะฉะนั้นเราขอถามสาวิตรี (ชื่อฉันท์) ซึ่งมีบท ๓ มีอักขระ ๒๔ กะท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 439
บทนั้นมีความว่า หากท่านกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ แต่ท่านกล่าวกะเราผู้มีใช่พราหมณ์ เพราะฉะนั้นเราขอถามสาวิตรีกะท่านผู้เจริญ ท่านจงบอกสาวิตรีมีบท ๓ มีอักขระ ๒ แก่เรา. ก็ในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส หมายถึงอริยสาวิตรีนี้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ อันเป็นเบื้องต้นแห่งพระไตรปิฎกซึ่งเป็นพระปรมัตถเวท อันพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ชั้นเยี่ยมประกาศแล้ว สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ. แม้หากว่าพราหมณ์พึงกล่าวอย่างอื่น พระผู้พระภาคเจ้าก็จะตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ นี้มิใช่สาวิตรีในวินัยของพระอริยะอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ครั้นพระองค์ทรงแสดงถึงความไม่ใช่สาวิตรีแก่พราหมณ์นั้น จึงทรงให้พราหมณ์ตั้งอยู่ในสาวิตรีนี้แล. แต่พราหมณ์ถามถึงสาวิตรี ครั้นสดับคำนี้ว่ามี ๓ บท มีอักขระ ๒๔ อัน เข้ากันได้กับลัทธิของตน เป็นสาวิตรีที่มีลักษณะและพยัญชนะเปล่งออกมาด้วยเสียงดุจเสียงพรหมจึงดูแคลนว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะถึงความสำเร็จในลัทธิของพราหมณ์แน่นอน แต่เรามิใช่พราหมณ์ เพราะไม่รู้ ท่านผู้นี้เป็นพราหมณ์ จึงแน่ใจว่าท่านผู้นี้เป็นพราหมณ์ เป็นคนดีถึงฝั่งแห่งมนต์ คิดว่า เอาเถิดเราจะถาม ยัญวิธี (วิธีบูชา ยัญ) และทักขิไณยวิธี (วิธีทำเพื่อทักษิณา) กะสมณะนั้น จึงกล่าวคาถาไม่เรียบร้อยนักสองบทนี้ว่า กินฺนิสฺสิตา ฯเปฯ โลเก ความว่า พวกฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ และพราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้อาศัยอะไร ได้กำหนดยัญแก่เทวดาทั้งหลาย.
บทนั้นมีความว่า พวกฤๅษี กษัตริย์ พราหมณ์ มนุษย์เหล่าอื่นอาศัยอะไร คือประสงค์อะไร ปรารถนาอะไร ได้กำหนดยัญเพื่อประโยชน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 440
แก่เทวดาทั้งหลาย. ม อักษรในบทว่า ยญฺมกปฺปยึสุ เป็นบทสนธิ. บทว่า อกปฺปยึสุ ได้แก่ จัดแจงแล้ว คือ ได้ทำแล้ว. บทว่า ปุถู คือ มาก มีประการไม่น้อยอันต่างด้วยข้าวและน้ำเป็นต้น. พราหมณ์ถามด้วยความประสงค์นี้ว่า ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์และพราหมณ์เป็นอันมากอาศัยอะไร ได้กำหนดยัญไว้ คือกรรมนั้นจะสำเร็จแก่พวกเขาได้อย่างไร.
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงพยากรณ์ความนั้นแก่พราหมณ์ จึงตรัสสองบทที่เหลือนี้ว่า ยทนฺตคู เวทคู ยญฺกาเล ยสฺสาหุตึ ลเภ ตสฺสิชฺเฌติ พฺรูมิ เราขอบอกว่า ผู้ถึงที่สุดทุกข์ ถึงที่สุดเวท จะพึงได้เครื่องบูชาในเมื่ออาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดเข้าไปตั้งไว้ในกาลแห่งยัญ ยัญกรรมของผู้นั้นพึงสำเร็จ.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ยทนฺตคู แปลว่า ผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์. แผลง อ อักษรแห่ง โอ อักษรเป็น ท อักษรดุจ ม อักษรในบทมีอาทิว่า อสาธารณมญฺเสํ ขุมทรัพย์ไม่ทั่วไปแก่คนอื่น. อธิบายว่า เราขอบอกว่าผู้ใดชื่อว่าถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพราะถึงที่สุดแห่งวัฏทุกข์ด้วยปริญญา ๓ และชื่อว่าถึงที่สุดแห่งเวท เพราะทำลายกิเลสด้วยเวทคือมรรคญาณ ๔ แล้วถึงที่สุด. ผู้นั้นพึงได้เครื่องบูชาในเมื่ออาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุด แม้ใบไม้ รากไม้และผลไม้ในป่า เข้าไปตั้งไว้ในกาลแห่งยัญของฤาษี มนุษย์ กษัตริย์และพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง คือ พึงได้ไทยธรรมไรๆ จากเครื่องบูชานั้น ยัญกรรมของผู้นั้นพึงสำเร็จ พึงสำเร็จด้วยดี คือ พึงมีผลมาก ดังนี้.
ลำดับนั้น พราหมณ์ฟังเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมบูรณ์ ด้วยปรมัตถธรรมอันลึกซึ้ง เสียงอันไพเราะยิ่ง และเสียงไม่วิการ สรรเสริญความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 441
ที่พระองค์เป็นผู้มีพระสรีระสมบัติอันสะอาด และคุณสมบัติทั้งปวงเกิดปีติโสมนัสกล่าวคาถาว่า อทฺธา หิ ตสฺส การบูชาของข้าพเจ้านั้นพึงสำเร็จเป็นแน่ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมโณ เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์. บทที่เหลือเป็นคำของพราหมณ์. บทนั้นมีอธิบายว่า พราหมณ์ทูลว่าการบูชาของข้าพเจ้านั้นพึงสำเร็จแน่นอนวันนี้ ไทยธรรมนี้จักสำเร็จ จักสำเร็จด้วยดี จักมีผลมาก เราจักได้เห็นผู้ถึงที่สุดแห่งเวทเช่นนั้น คือเราจักได้เห็นผู้ถึงที่สุดแห่งเวท ผู้เจริญเช่นนั้น จริงอยู่ ท่านนั่นแหละเป็นผู้เลิศกว่าผู้ถึงที่สุดแห่งเวททั้งหลาย อนึ่ง เมื่อก่อนจากนี้ชนอื่นย่อมบริโภคขนมสำหรับบูชา ข้าวสุกสำหรับบูชาและขนมที่เขาเตรียมยัญเพื่อคนเช่นเรา เพราะยังไม่เห็นผู้ถึงที่สุดแห่งเวทและผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เช่นท่าน. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พราหมณ์ย่อมเลื่อมใสในพระองค์และรับพระดำรัสแล้วมีพระประสงค์จะประกาศทักขิไณยบุคคลโดยประการต่างๆ เหมือนอย่างที่ทักขิไณยบุคคลเป็นผู้ปรากฏเป็นอันดีแก่เขาจึงตรัสพระคาถาว่า ตสฺมาติห ตฺวํ ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงพระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะท่านเป็นผู้เลื่อมใสในเรา ฉะนั้นแหละท่านจงเข้าไปถามเถิด. ก่อนจากนี้ไปควรเชื่อมบทของผู้มีความต้องการด้วยประโยชน์ ด้วยบทอื่น. อธิบายว่า ท่านผู้มีความต้องการด้วยประโยชน์ ท่านอยู่ในที่นี้แหละ อย่าไปไหน จะประสบพบเห็นทักขิไณยบุคคลผู้มีปัญญาดี มีปัญญาประเสริฐ เป็นพระขีณาสพ ชื่อว่า เป็นผู้สงบ เพราะสงบด้วยไฟคือกิเลสอันสมควรแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 442
ความเป็นผู้มีความต้องการด้วยประโยชน์นั้น ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีความโกรธ เพราะสงบความโกรธเสียได้ ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีความอยากเพราะไม่มีทุกข์ ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีความหวัง เพราะไม่มีความหวังหลายๆ อย่าง ในศาสนานี้แน่แท้. อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงพระองค์จึงตรัสว่า เพราะท่านเลื่อมใสในเรา ดูก่อนพราหมณ์ ฉะนั้นแหละท่านเป็นผู้มีความต้องการด้วยประโยชน์ จงเข้าไปถามท่านผู้สงบ ผู้ไม่มีความโกรธ ผู้ไม่มีทุกข์ ผู้ไม่มีความหวังเถิด. ในบทนี้พึงทราบโยชนาแก้ไว้ว่า เมื่อถามอย่างนี้ท่านจะพบทักขิไณยบุคคลผู้มีปัญญาดี ผู้เป็นขีณาสพในศาสนานี้เป็นแน่แท้.
ลำดับนั้น พราหมณ์ปฏิบัติตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ยญฺเ รโตหํ โภ ฯเปฯ พฺรูหิ เมตํ ความว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ายินดีแล้วในยัญ ใคร่จะบูชายัญ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ทราบชัด ขอท่านจงพร่ำสอนข้าพเจ้าเถิด ขอท่านจงบอกที่เป็นที่สำเร็จแห่งการบูชาแก่ข้าพเจ้าเถิด. บทว่า ยญฺโ (การเซ่นสรวง) ยาโค (การบูชายัญ) ทานํ (การให้) ในบทว่า ยญฺเ นั้น โดยความเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น พึงทราบการประกอบความในบทนี้อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ายินดีแล้วในทาน ประสงค์จะให้ทาน เพราะความยินดีในทานนั่นเอง แต่ข้าพเจ้ายังไม่ทราบชัด ขอท่านจงพร่ำสอนข้าพเจ้าผู้ไม่รู้อย่างนี้เถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เมื่อท่านจะพร่ำสอน ขอจงบอกที่เป็นที่สำเร็จแห่งการบูชาแก่ข้าพเจ้า โดยนัยที่ง่ายเถิด. ปาฐะว่า ยถา หุตํ ก็มี.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์จะกล่าวแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า เตนหิ ฯเปฯ เทสิสฺสามิ ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 443
เงี่ยโสตลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน เพื่อทรงพร่ำสอนพราหมณ์ผู้เงี่ยโสตลงแล้ว จึงตรัสคาถาว่า ตาว มา ชาตึ ปุจฺฉ ท่านอย่าถามถึงชาติก่อนเลย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มา ชาตึ ปุจฺฉ อย่าถามถึงชาติ ความว่า ผิว่า ท่านหวังความมีผลมากในการบูชา ความสำเร็จและการให้ จงอย่าถามถึงชาติ เพราะการถามถึงชาติไม่ใช่เหตุในการพิจารณาถึงทักขิไณยบุคคล. บทว่า จรณํ จ ปุจฺฉ ได้แก่ จงถามแต่ธรรมสำหรับประพฤติ อันได้แก่คุณธรรม มีศีลเป็นต้นเถิด เพราะธรรมสำหรับประพฤตินี้ เป็นเหตุในการพิจารณาถึงทักขิไณยบุคคล.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชี้แจงความนั้นให้แจ่มแจ้งแก่พราหมณ์นั้น จึงทรงยกตัวอย่างว่า กฏฺา หเว ชายติ ชาตเวโท เป็นต้น. อธิบายความในบทนั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไฟย่อมเกิดแต่ไม้แล อนึ่ง ไฟนั้นมิใช่เกิดจากไม้มีไม้สาละเป็นต้นเท่านั้น จึงทำหน้าที่ของไฟได้ ถึงเกิดจากไม้มีแผ่นหินและรางน้ำเป็นต้นก็ทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ที่ทำได้เพราะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ มีเปลวไฟเป็นต้นฉันใด ผู้ที่เป็นทักขิไณยบุคคล ก็ฉันนั้น มิใช่ผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์เท่านั้น ทั้งมิใช่เกิดในตระกูลคนจัณฑาล เป็นต้น แม้เกิดในตระกูลต่ำ เกิดในตระกูลสูง ก็เป็นมุนีขีณาสพ มีปัญญา เกียดกันอกุศลได้ด้วยหิริ เป็นบุคคลอาชาไนยได้ เป็นผู้มีชาติ โดยคุณสมบัติ อันมีปัญญาและหิริเป็นประธาน ก็เป็นทักขิไณยบุคคลผู้สูงสุดได้ เพราะผู้นั้นย่อมทรงคุณธรรมด้วยปัญญา ย่อมเกียดกันโทษทั้งหลายด้วยหิริ สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า หิริยา หิ สนฺโต น กโรนฺติ ปาปํ จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 444
สัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำความชั่ว เพราะมีหิริ. ด้วยเหตุนั้น เราขอบอกแก่ท่านว่า ท่านถามถึงชาติ จงถามแต่ธรรมสำหรับประพฤติ ไฟย่อมเกิดแต่ไม้แล แม้ผู้เกิดในตระกูลต่ำก็เป็นมุนี มีปัญญา เป็นบุคคลอาชาไนย เกียดกันอกุศลด้วยหิริได้. นี้เป็นความสังเขป. ส่วนความพิสดาร พึงทราบโดยค้นคว้าดูในอัสสลายนสูตร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงพร่ำสอนพราหมณ์นั้นด้วยความบริสุทธิ์แห่งวรรณะ ๔ อย่างนี้แล้ว เพื่อทรงแสดงที่เป็นที่สำเร็จแห่งการบูชายัญจึงตรัสคาถามีอาทิว่า สจฺเจน ทนฺโต ฝึกตนด้วยสัจจะดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สจฺเจน ได้แก่ ปรมัตถสัจจะ. จริงอยู่ผู้บรรลุปรมัตถสัจจะนั้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนแล้ว. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ว่า สจฺเจน ทนฺโต ดังนี้. บทว่า ทมสา อุเปโต ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยการฝึกฝนอินทรีย์. บทว่า เวทนฺตคู ได้แก่ ถึงที่สุดแห่งกิเลสด้วยเวทหรือถึงมรรคญาณที่ ๔ อันเป็นที่สุดแห่งเวททั้งหลาย. บทว่า วุสิตพฺรหฺมจริโย ได้แก่ อยู่จบมรรคพรหมจรรย์ เพราะไม่มีกิจที่จะต้องอยู่อีก. บทว่า กาเลน ตมฺหิ หพฺยํ ปเวจฺเฉ พึงหลั่งไทยธรรมในทักขิไณยบุคคลนั้นตามกาล ความว่า พึงกำหนดเวลาที่ตนจะเอาไทยธรรมไปตั้งและเวลาที่ทักขิ- ไณยบุคคลนั้นอยู่เฉพาะหน้า แล้วพึงหลั่งคือพึงมอบไทยธรรมในทักขิไณยบุคคลเช่นนั้นตามเวลานั้น. บทว่า กาเม ได้แก่ วัตถุกามและกิเลสกาม. บทว่า สุสมาหิตินฺทฺริยา คือมีอินทรีย์ตั้งมั่นแล้วด้วยดี. ท่านอธิบายว่ามีอินทรีย์ไม่ฟุ้งซ่าน. บทว่า จนฺโทว ราหุคฺคหณา ปมุตฺโต ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 445
เหมือนพระจันทร์ที่พ้นจากการจับของราหู ฉันใด ผู้พ้นจากการจับของกิเลส ย่อมเปล่งปลั่งฉันนั้น. บทว่า สตา คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสติ. บทว่า มมายิตานิ ได้แก่ ละตัณหาและทิฏฐิที่คนพาลถือว่าเป็นของเราได้แล้ว. บทว่า โย กาเม หิตฺวา ละกามทั้งหลายได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึง พระองค์ตั้งแต่ต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า กาเม หิตฺวา คือละกิเลสกามได้แล้ว. บทว่า อภิภุยฺยจารี ได้แก่ ชื่อว่าครอบงำวัตถุกามทั้งหลายเที่ยวไป เพราะละวัตถุกามเหล่านั้นได้แล้ว. ท่านกล่าวพระนิพพานว่าเป็นที่สุดแห่งชาติและมรณะ. บทว่า โย เวทิ คือรู้ที่สุดแห่งชาติและมรณะนั้นด้วยกำลังปัญญา. บทว่า อุทกรหโทว เหมือนห้วงน้ำ ความว่า สระใหญ่ ๗ สระในป่าหิมวันตะ คือ สระอโนดาต สระกัณณมุณฑะ สระรถการะ สระฉัททันตะ สระกุณาละ สระมัณฑากินี สระสีหปปาตะ เหล่านี้ใด เย็นอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ถูกความ ร้อนคือไฟและพระอาทิตย์สัมผัส ผู้รู้ที่สุดแห่งชาติและมรณะชื่อว่าดับความเร่าร้อนได้ เป็นผู้เยือกเย็น เพราะดับความเร่าร้อนคือกิเลสได้เหมือนห้วงน้ำ เหล่านั้นห้วงใดหวังหนึ่งฉะนั้น. บทว่า สโม ได้แก่ เท่ากัน. บทว่า สเมหิ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีเป็นต้น. เพราะพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า สมา คือ เป็นผู้เสมอกันเพราะเสมอกันด้วยการตรัสรู้. พระพุทธเจ้าเหล่านั้นไม่มีความต่างกันในคุณที่ควรบรรลุในการตรัสรู้หรือในโทษที่ควรละ. พระพุทธเจ้าเหล่านั้นมีความต่างกันด้วยกาล อายุ ตระกูล ประมาณ การบรรพชา ความเพียร ที่ตรัสรู้ และพระรัศมี. เป็นความจริงดังนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยกำหนดอย่างต่ำ ทรงบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยแสนกัป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 446
โดยกำหนดอย่างสูง สิบหกอสงไขยแสนกัป นี้คือความต่างแห่งกาลของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. อนึ่งโดยกำหนดอย่างต่ำ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติในกาลที่คนมีอายุ ๑๐๐ ปี โดยกำหนดอย่างสูง ในกาลที่คนมีอายุแสนปี นี้คือความต่างแห่งอายุ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์ หรือในตระกูลพราหมณ์ นี้คือความต่างกันแห่งตระกูล. พระพุทธเจ้าทั้งหลายสูง ประมาณ ๘๘ ศอก หรือต่ำประมาณ ๑๕ - ๑๘ ศอก นี้คือความต่างแห่งประมาณ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จออกบรรพชาด้วย ช้าง ม้า รถและวอ เป็นต้น หรือโดยทางอากาศ เช่นพระวิปัสสี พระกกุสันธะเสด็จออกบรรพชาด้วยรถม้า พระสิขี พระโกนาคมนะเสด็จออกโดยกองช้าง พระเวสสภูเสด็จออกโดยวอ พระกัสสปเสด็จออกโดยทางอากาศ พระศักยมุนีเสด็จออกโดยหลังม้า นี้คือความต่างกันแห่งการออกบรรพชา. พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรเจ็ดวันบ้าง กึ่งเดือนบ้าง เดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง สี่เดือนบ้าง ห้าเดือนบ้าง หกเดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง หกปีบ้าง นี้คือความต่างกันแห่งความเพียร. ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ใบบ้าง ต้นไทรเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง นี้คือความต่างกันแห่งที่ตรัสรู้. พระพุทธเจ้าทั้งหลายประกอบด้วยพระรัศมีวาหนึ่ง พระรัศมี ๘๐ วา และพระรัศมีไม่มีกำหนด ในพระรัศมีเหล่านั้น พระรัศมีวาหนึ่งและ ๘๐ วา เหมือนกันทุกพระองค์ แต่พระรัศมีไม่มีกำหนดแผ่ไปไกลบ้างใกล้บ้างคาวุตหนึ่ง สองคาวุต โยชน์หนึ่ง หลายโยชน์ และสุดจักรวาลบ้าง. พระรัศมีของพระพุทธมงคลแผ่ไปถึงหมื่นจักรวาล. เมื่อเป็นเช่นนี้พระรัศมีของพระพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 447
ทั้งหลายย่อมแผ่ไปตามพระประสงค์ เพราะเกี่ยวกับใจคิด นี้คือความต่างกันแห่งพระรัศมี. เว้นความต่างกัน ๘ อย่างเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความต่างกันในคุณที่ควรบรรลุถึงการตรัสรู้ที่เหลือหรือในโทษที่ควรละ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สมา คือเป็นผู้เสมอกัน. พระตถาคตเป็นผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้. บทว่า วิสเมหิ ทูเร ห่างไกลจากผู้ไม่เสมอทั้งหลายคือห่างไกลจากสรรพสัตว์ที่เหลือมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้ไม่เสมอ. จริงอยู่ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตลอดชมพูทวีปก็ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวด้วยคุณทั้งหลาย. จะกล่าวไปทำไมถึงพวกสาวกเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิสเมหิ ทูเร ดังนี้. พึงประกอบบทว่า ทูเร ด้วยบททั้งสองว่า ตถาคโต โหติ. บทว่า อนนฺตปญฺโ คือมีปัญญากำหนดไม่ได้. จริงอยู่ ไม่ควรกล่าวเปรียบปัญญาของพระอริยะที่ ๘ ยิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ชาวโลก กล่าวเปรียบปัญญาของพระโสดาบันยิ่งกว่าปัญญาของพระอริยะที่ ๘ กล่าวเปรียบปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งกว่าปัญญาของพระอรหันต์ กล่าวเปรียบปัญญาของพระตถาคตยิ่งกว่าปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า. แต่ควรกล่าวว่า อนนฺตา คือไม่มีที่สุด. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อนนฺตปญฺโ พระตถาคตเป็นผู้มีปัญญาไม่มีที่สุด. บทว่า อนุปลิตฺโต ได้แก่ ผู้อันเครื่องฉาบทาคือตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว. บทว่า อิธ วา หุรํ วา คือในโลกนี้หรือโลกอื่น. แต่ในบทนี้โยชนาแก้ไว้ว่า พระตถาคตเป็นผู้เสมอด้วยผู้เสมอ อยู่ห่างไกลจากผู้ไม่เสมอ เพราะเหตุไร เพราะพระตถาคตเป็นผู้มีปัญญาไม่มีที่สุด เป็นผู้อัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 448
ตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาในโลกนี้หรือโลกอื่น ฉะนั้น พระตถาคตจึงย่อมควรเครื่องบูชา.
บทว่า ยมฺหิ น มายา พระตถาคตไม่มีมายา. ก็คาถานี้และคาถาอื่น พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้เช่นนี้ เพื่อละความสำคัญในพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยความพินาศมีมายาเป็นต้นว่าเป็นทักขิไณยบุคคล. ในบทเหล่านั้นบทว่า อมโม ได้แก่ ละความยึดถือในสัตว์และสังขารทั้งหลายว่า นี้เป็นของเรา. บทว่า นิเวสนํ ได้แก่ ที่อยู่อาศัยคือตัณหาและทิฏฐิ. ด้วยบทนั้นใจย่อมอยู่อาศัยใน ภพ ๓. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ละตัณหาทิฏฐิที่อยู่ประจำใจได้แล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ยังอยู่อาศัยในตัณหาและทิฏฐินั้น เพราะไม่สามารถจะละไปได้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นิเวสนํ (คืออยู่อาศัย. บทว่า ปริคฺคหา ได้แก่ ตัณหาและทิฏฐินั่นเอง. เพราะตัณหาและทิฏฐิเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ตนยึดถือไว้. บทว่า เกจิ คือมีประมาณน้อย. บทว่า อนุปาทิยมาโน ได้แก่ ไม่ถือมั่นสิ่งไรๆ เพราะไม่มีตัณหาและทิฏฐิเป็นที่อยู่อาศัย. คือตั้งมั่นด้วยมรรคสมาธิ. บทว่า อุทตารี คือข้ามได้แล้ว. บทว่า ธมฺมมญฺาสิ คือได้รู้ธรรมที่ควรรู้ทั้งหมด. บทว่า ปรมาย ทิฏิยา คือด้วยสัพพัญญุตญาณ. บทว่า ภวาสวา ได้แก่ ภวตัณหาคือราคะสหรคตด้วยความใคร่ในฌานและสัสสตทิฏฐิ. บทว่า วจี ได้แก่ วาจา. บทว่า ขรา ได้แก่ วาจากระด้างหยาบคาย. บทว่า วิธูปิตา คือเผาเสียแล้ว. บทว่า อตฺถคตา คือตั้งอยู่ไม่ได้. บทว่า น สนฺติ ไม่มีอยู่. คือ เพราะกำจัดเสียแล้ว เพราะตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว. พึงประกอบทั้งสองบทด้วยบททั้งสอง. บทว่า สพฺพธิ คือในขันธ์และอายตนะทั้งปวง. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 449
มานสตฺเตสุ ได้แก่ ในเหล่าสัตว์ผู้มีมานะ. บทว่า ทุกฺขํ ปริญฺาย ได้แก่ กำหนดรู้ทุกข์ในวัฏฏะด้วยปริญญา ๓. บทว่า สเขตฺตวตฺถุํ พร้อมทั้งไร่นาและที่ดิน คือ พร้อมด้วยเหตุและปัจจัย. ท่านอธิบายว่า พร้อมด้วยกิเลสทั้งหลาย. บทว่า วาสํ อนิสฺสาย คือไม่ติดตัณหา. บทว่า วิเวกทสฺสี คือ เห็นพระนิพพาน. บทว่า ปรเวทิยํ คือ จะพึงให้ผู้อื่นรู้. บทว่า ทิฏฺิมุปาติวตฺโต ได้แก่ ก้าวล่วงมิจฉาทิฏฐิอันมีประเภท ๖๒. บทว่า อารมฺมณา ได้แก่ ปัจจัย. อธิบายว่า เหตุที่ทำให้เกิดภพใหม่. บทว่า ปโรปรา ได้แก่ ธรรมอื่นๆ ดีๆ หรือธรรมทั้งที่เป็นภายในและภายนอก. บทว่า สเมจฺจ ได้แก่ ตรัสรู้แล้วด้วยญาณ. บทว่า ธมฺมา ได้แก่ ธรรมมีขันธ์และอายตนะ เป็นต้น.
บทว่า อุปาทานกฺขเย วิมุตฺโต น้อมไปในความสิ้นสูญอุปาทานคือ น้อมไปในนิพพาน โดยมีนิพพานเป็นอารมณ์. อธิบายว่า มีปกติได้การน้อมไปในอารมณ์คือ นิพพาน. บทว่า สํโยชนชาติขยนฺตทสฺสี ได้แก่ เห็นที่สุดความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ และเห็นที่สุดความสิ้นไปแห่งชาติ. อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าวสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ด้วยที่สุดความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ อนุปาทิเสสนิพพาน ด้วยที่สุดความสิ้นไปแห่งชาติ. บทว่า ขยนฺโต นี้ เป็นชื่อของการละได้เด็ดขาดอันเป็นความสิ้นไปโดยส่วนเดียว. อนึ่ง ในบทนี้ท่านไม่ลบนิคคหิต ดุจในบทมีอาทิว่า วิเวกชมฺปีติสุขํ ปีติและสุขเกิดแต่วิเวก. บทว่า โย ปานุทิ คือ พระตถาคตทรงบรรเทาได้แล้ว. บทว่า ราคปถํ ได้แก่ มีราคะเป็นอารมณ์ หรือราคะเท่านั้น. จริงอยู่ แม้ราคะท่านก็เรียกว่า ราคปโถ ทางแห่งราคะ เพราะเป็นทางแห่งทุคติดุจกรรมบถ. บทว่า สุทฺโธ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 450
นิทฺโทโส วิมโล อกาโม เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีโทษ ปราศจากมลทิน ไม่มีความใคร่ ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะมีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ ชื่อว่าไม่มีโทษ เพราะไม่มีโทษที่ท่านกล่าวว่าหมู่สัตว์นี้มีราคะ โทสะ โมหะเป็นโทษ ชื่อว่าปราศจากมลทินเพราะไม่มีมลทิลเข้าไปกล้ำกราย ชื่อว่าไม่มีความใคร่เพราะไม่มีอุปกิเลส. จริงอยู่ผู้ที่ถูกอุปกิเลสเข้าไปทำให้ขุ่นมัวท่านเรียกว่า สกาโม มีความใคร่. คนไม่ทำบาปเพราะเป็นผู้ปราศจากทลทินชื่อว่า ไม่มีความใคร่. จริงอยู่ การทำบาปท่านเรียกว่า กาโม เพราะทำความเคียดแค้น.
บทว่า อตฺตนา อตฺตานํ นานุปสฺสติ ไม่พิจารณาเห็นตนโดยความเป็นตน ความว่า พระตถาคตทรงเห็นแจ้งด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณไม่ทรงพิจารณาเห็นสิ่งอื่นที่ชื่อว่าตนในขันธ์ทั้งหลายของตน พิจารณาเห็นเพียงขันธ์เท่านั้น ไม่พิจารณาเห็นตนโดยความเป็นตน เพราะไม่มีทิฏฐิเกิดขึ้นโดยความเป็นของจริงแท้แก่พระตถาคตนั้นว่า เรารู้ชัดตนโดยความเป็นตนทีเดียว ย่อมพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายด้วยปัญญาโดยถ่องแท้. พระตถาคตมีจิตตั้งมั่นด้วยมรรคสมาธิ ทรงปฏิบัติตรงเพราะไม่มีความคดทางกายเป็นต้น ทรงดำรงตนมั่น เพราะไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมทั้งหลาย ไม่มีความอยากไม่มีกิเลสดุจไม้อ้อ ไม่มีความสงสัย เพราะไม่มีความอยากอันได้แก่ตัณหา ไม่มีกิเลสดุจไม้อ้อทางจิต ๕ และเพราะไม่มีความสงสัยในสิ่งอันไม่ใช่ฐานะ ๘ อย่าง. บทว่า โมหนฺตรา ได้แก่ มีโมหะเป็นเหตุเป็นปัจจัย. บทนี้เป็นชื่อของกิเลสทุกชนิด. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ าณทสฺสี เห็นด้วยญาณในธรรมทั้งปวง ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้แจ้งพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเห็นญาณในธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 451
ทั้งปวง ทรงทำให้แจ้งว่า เราบรรลุแล้ว ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ จ าณทสฺสี ดังนี้. บทว่า สมฺโพธึ ได้แก่ พระอรหัต. บทว่า อนุตฺตรํ ยอดเยี่ยม คือ สัมโพธิญาณไม่ทั่วไปด้วย พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย. บทว่า สิวํ ได้แก่ เกษม ไม่มีอันตรายหรือมีสิริ. บทว่า ยกฺขสฺส ได้แก่ บุรุษ. บทว่า สุทธิ ได้แก่ ความผ่องแผ้ว. ก็ในบทว่า สุทฺธิ นี้ ได้แก่ ไม่มีโทษทุกชนิด เพราะไม่มีโมหะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ด้วยบทว่า สุทฺธิ นั้น พระตถาคตตัดเหตุได้เด็ดขาด ทรงสรีระไว้ในชาติสุดท้าย มีคุณธรรมทั้งปวงเพราะเห็นได้ด้วยญาณ ด้วยบทนั้นท่านจึงกล่าวว่า อนุตฺตรํ สมฺโพธึ พระตถาคตบรรลุสัมโพธิญาณที่ยอดเยี่ยม ต่อจากนั้นจะไม่มีสิ่งควรละหรือสิ่งควรบรรลุ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เอตฺตาวตา ยกฺขสฺส สุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของบุรุษย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เมื่อจะทำอาการเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจึงทูลว่า หุตญฺจ มยฺหํ ก็การบูชาของข้าพระองค์ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีความว่า พราหมณ์ทูลขอร้องว่า เมื่อก่อนนี้ข้าพระองค์นึกถึงพราหมณ์บูชาด้วยไฟ การบูชาของชาพระองค์นั้นจะเป็นการบูชาจริงหรือเป็นการบูชาหลอกลวงข้าพระองค์ไม่รู้ แต่วันนี้การบูชาของข้าพระองค์เป็นการบูชาจริง เพราะข้าพระองค์ยืนอยู่ ณ ที่นี้ ได้บุคคลผู้ถึงเวทเป็นผู้เจริญเช่นนั้น เมื่อจะน้อมเครื่องบูชาที่เหลือเข้าไปถวายจึงทูลว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพรหม ผู้เห็นเองแท้ ขอได้โปรดทรงรับ ครั้นรับแล้ว โปรดบริโภคเครื่องบูชาของข้าพระองค์เถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 452
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสองคาถา โดยนัยที่กล่าวแล้วในกสิภารทวาชสูตร. แต่นั้นพราหมณ์ไม่เข้าใจความแห่งคาถาอย่างนี้ว่า พระตถาคตนี้ ไม่ปรารถนาด้วยตนเอง ยังกล่าวหมายถึงผู้อื่นว่า ท่านจงบำรุงพระขีณาสพผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้สงบความคะนองแล้วด้วยข้าวน้ำเถิด ประสงค์จะรู้ความนั้นจึงทูลว่า สาธาหํ ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอประทานวโรกาส.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าวิงวอน. บทว่า ตถา คือโดยประการที่พระองค์ตรัส. บทว่า วิชญฺํ แปลว่า พึงรู้. บทว่า ยํ ได้แก่ แสวงหาผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในกาลแห่งยัญ. บทว่า ปปฺปุยฺย แปลว่า ถึงแล้ว. บทว่า ตว สาสนํ ได้แก่ โอวาทของท่าน. ท่านอธิบายไว้ว่า พราหมณ์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอประทานวโรกาสข้าพระองค์ถึงคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว พึงรู้แจ่มแจ้งอย่างที่พระองค์บอกแต่ข้าพระองค์ ขอพระองค์จงทรงแสดงทักขิไณยบุคคล ผู้พึงบริโภคทักษิณาของบุคคลเช่นข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะพึงแสวงหาบำรุงอยู่ในกาลแห่งยัญ แก่ข้าพระองค์เถิด หากพระองค์จะไม่บริโภค.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงทักขิไณยบุคคลเห็นปานนั้นแก่พราหมณ์ตามนัยที่ปรากฏแล้ว จึงตรัสสองคาถาว่า สารมฺภา ยสฺส นอบน้อมผู้ปราศจากความแข่งดี ดังนี้เป็นต้น
ในบทเหล่านั้น บทว่า สีมา ในบทว่า สีมนฺตานํ วิเนตารํ ได้แก่ มารยาทอันเป็นความประพฤติของคนดี กิเลสทั้งหลายท่านกล่าวว่า สีมนฺตา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 453
เพราะมีส่วนอันเป็นที่สุดของมารยาทนั้น อธิบายว่า นำกิเสสนั้นออกเสียได้ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า สีมนฺตา คือ เสกขบุคคลและปุถุชนที่เป็นพุทธเวไนย นำกิเลสเหล่านั้นออกเสียได้ดังนี้บ้าง. บทว่า ชาติมรณโกวิทํ ผู้ฉลาดในชาติและมรณะ คือ ฉลาดในชาติและมรณะนี้ว่า ชาติเป็นอย่างนี้ มรณะเป็นอย่างนี้. บทว่า โมเนยฺยสมฺปนฺนํ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยปัญญา หรือสมบูรณ์ด้วยความฉลาดทางกายเป็นต้น. บทว่า ภกุฏึ วินยิตฺวาน พึงกำจัดความสยิ้วหน้า คนปัญญาทรามบางคน เห็นยาจกแล้วทำหน้าสยิ้ว พึงกำจัดความสยิ้วหน้านั้นเสีย อธิบายว่า เป็นผู้มีหน้าผ่องใส. บทว่า ปญฺชลิกา คือเป็นผู้ประคองอัญชลี. ลำดับนั้นพราหมณ์ เมื่อจะสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลว่า พุทฺโธ ภวํ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อายาโค คือ ผู้ควรบูชา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อายาโค เพราะมาจากที่นั้นๆ แล้วควรบูชาบ้าง. ท่านอธิบายว่า เป็นผู้สมควรรับไทยธรรมทั้งหลาย. บทที่เหลือในสูตรนี้ บทใดที่มิได้พรรณนาไว้ในคาถาต้นบทนั้น แม้ไม่พรรณนาไว้ก็สามารถจะรู้ได้ เพราะมีความง่ายอยู่แล้ว ฉะนั้น จึงไม่พรรณนา ส่วนบทต่อจากนี้มีนัยดังได้กล่าวแล้วในกสิภารทวาชสูตร นั่นแล.
จบอรรถกถาปูรฬาสสูตร ที่ ๔ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา