พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 212 ๖. ชฏาสูตร
ว่าด้วยตัณหาพายุ่ง [๖๔๔] สาวัตถีนีทาน.
ครั้งนั้นแล ชฏาภารทวาชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ ครั้นแล้ว สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.[๖๔๕] ชฎาภารทวาชพราหมณ์ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ตัณหาหาพายุ่งในภายใน พายุ่งในภาย
นอก หมู่สัตว์ถูกตัณหาพายุ่งไขว่ให้นุง ข้า
แต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์
ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครพึงสางตัณหา
พายุ่งมิได้.
[๖๔๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุใดเป็นคนมีปัญญา ตั้งมั่นอยู่ใน
ศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญ มีความ
เพียร มีปัญญารักษาตน ภิกษุนั้นพึงสาง
ตัณหาพายุ่งนี้ได้ ราคะโทสะและอวิชชา
อันชนเหล่าใด สำรอกแล้ว ชนเหล่านั้น
เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้วตัณหา
พายุ่งอันชนเหล่านั้นสางได้แล้ว นามและ
รูปย่อมดับไปไม่เหลือในที่ใด ปฏิฆสัญญา
รูปสัญญา และตัณหาพายุ่งนั่น ย่อมขาด
ไปในที่นั้น.
[๖๔๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ชฏาภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักฯลฯ ก็แหละท่านชฏาภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ