กราบเรียนถามอาจารย์ทั้งสองท่านและท่านผู้รู้ด้วยครับ ผมขอสมมมุติเรื่องดังนี้ครับ มีครอบครัวหนึ่ง มี 3 คน คือ พ่อ แม่ และลูก เฉพาะผู้เป็นแม่มีมีความรู้ความเข้าใจ (ในระดับหนึ่ง) ในพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง แล้ววันหนึ่งผู้เป็นพ่อรู้มาว่าลูกพูดโกหกเขาหลายๆ ครั้ง (รู้เรื่องตอนสายๆ) แล้วโทรแจ้งให้ผู้เป็นแม่รู้เรื่องทั้งหมด เมื่อแม่ทราบความจริงทั้งหมดก็เริ่มคิดและพิจารณาเรื่องว่าถ้าถึงตอนเย็น (ลูกจะกลับจากโรงเรียน) ผู้เป็นพ่อก็จะต้องสอนลูกให้ประพฤติดีโดยการไม่โกหกเป็นเบื้องต้นแต่คงต้องมีโทสะประกอบในเรื่องนี้แน่ๆ (มากน้อยแล้วแต่) ก่อนถึงเวลานั้นผู้เป็นแม่ก็คิดก็พิจารณาว่าอกุศลธาตุกำลังจะเกิดกับจิตของผู้เป็นพ่อ แต่ก็เข้าใจว่า อกุศลธาตุทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้เกิดจากเหตุปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา
แต่ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังพิจารณาเรื่องราว (อารมณ์นี้) ขอถามว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิกและอะไรเป็นรูปของผู้เป็นแม่ครับ ถ้าผมใช้คำถามผิดหรือไม่ถูกต้องขอความกรุณาชำระความหรือให้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องสมมติ เป็นสิ่งที่จิตคิด สิ่งที่น่าพิจารณา คือ แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั่น ก็คือ ไม่พ้นไปจาก จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ (รูป สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) จะคิดอย่างไร จะมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล เราไม่สามารถที่จะไปรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ มั่นคงในความจริง ว่าแท้จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ไม่มี จะคิดดีหรือไม่ดี เป็นต้น ก็คือ ธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ที่กล่าวหมายเรียกว่า เป็นลูก บ้าง เป็นพ่อ บ้าง เป็นแม่บ้าง ก็เพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้นจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรื่องสมมติ เป็นสิ่งที่จิตคิด แท้จริงแล้วมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาอ.คำปั่นอย่างสูงครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณ ยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณค่ะ