เมื่อวันที่ 2 – 3 ธ.ค. 57 คณะแพทย์ศาสตร์ มเชียงใหม่ ชมรมสารธรรมล้านนา และชมรมบ้าน ธัมมะ มศพ. เชียงใหม่ ได้เรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรไป ร่วมสนทนาธรรมที่ตึกสงฆ์อาพาธ มีรายการสนทนาธรรมตลอดเวลาตั้งแต่ลงจากเครื่องบินไป จนขึ้นเครื่องกลับ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไป เพราะรู้สึกเหนื่อยที่ไม่มีเวลาพักผ่อนและ ท่องเที่ยว เลย (ความจริงคนที่ไม่ได้พัก คือ ท่านอาจารย์ เราแค่ฟังเฉยๆ บางครั้งก็งีบหลับบ้าง ยังรู้สึก เหนื่อยล่วงหน้าขนาดนี้ แสดงว่ากิเลสมากขนาดไหน) แต่ด้วยความอนุเคราะห์และเกื้อกูลของ กัปตันเกื้อกูล (สมชื่อ) และคุณอ้อม สวณี แสนทอง ภรรยา ที่จัดหาตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด ให้ จึงได้ร่วมเดินทางไปด้วย และได้รับประโยชน์มาก เพราะได้ร่วมเจริญกุศลหลายอย่าง เกือบตลอดเวลา โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ขอบพระคุณท่านทั้งสองที่อนุเคราะห์ ทำให้ได้ร่วม เดินทางมาฟังธรรม เมื่อตั้งใจฟังด้วยดีทำให้เข้าใจขึ้นจนรู้ได้ถึงความหมายของคำว่า “บันเทิง ในธรรม” จริงๆ นั้นดื่มด่ำประทับใจกว่าการได้เที่ยวชมสถานที่สวยงามต่างๆ ที่เห็นแล้วก็ลืมและ สะสมความติดข้องอยากเห็น อยากเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก แม้ฟังธรรมะแล้วก็ลืมเหมือนกัน แต่ก็ สะสมความเข้าใจอยู่ในจิต เป็นปัจจัยให้ความเข้าใจนั้นเกิดในขณะจิตต่อๆ ไป
เมื่อพร้อมกันที่สนามบินตอนสิบโมงเช้า บริษัทนกแอร์ก็จัดโต๊ะสำหรับผู้โดยสารร่วมเขียนคำ ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสร็จ ท่านอาจารย์จึงนำพวกเราเขียนคำถวายพระพร บนใบโพธิ์และนำไปห้อยที่บอร์ดเป็นกลุ่มแรก รู้สึกเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้ทำสิ่งที่สมควรแก่ พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้ทรงทศพิธราชธรรมเช่นนี้ ขอให้พระองค์ทรงมีพระชมมายุยืนยาว พระ สุขภาพพลามัยแข็งแรงด้วยเทอญ
เครื่องบินก็ช้ากว่ากำหนดอีกเช่นเคย กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็เที่ยงกว่า มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มารอรับท่านอาจารย์หลายท่าน มีทหารโดยความอนุเคราะห์ของท่านพลเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่แม้จะไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็ประสานงานให้ทหารได้เจริญกุศลโดยนำรถตู้ มารับท่านอาจารย์ 2 คัน รถพาพวกเราไปรับประทานอาหารกลางวันในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีคุณหมอดลยา ชมรมสารธรรมล้านนา เป็นเจ้าภาพ (ชิงตัดหน้าเจ้าภาพ คือ ชมรมบ้าน ธัมมะ เชียงใหม่) รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ถึงเวลาสนทนาธรรมช่วงแรก เวลาบ่ายสอง โมงตรง ที่บริเวณใกล้เคียง คือ ที่ห้องประชุม ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลมหาราชนคร เชียงใหม่
ห้องประชุมที่จัดไว้สำหรับการนั่งสมาธินั้นปูพรมสวยงาม มีโต๊ะหมู่บูชาที่ประดิษฐานพระพุทธ รูปองค์ใหญ่ และหุ่นขี้ผึ้งของพระสงฆ์ ทราบจากการชี้แจงของการผู้จัดว่า การจัดบรรยายธรรม ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะไม่มีการปฏิบัติ เป็นการบรรยายธรรมล้วนๆ แล้วบอกชื่อวิทยากร ในคราวต่อไปอีกหลายท่าน ฟังชื่อแล้วก็แปลกใจ เพราะคิดเอาเองว่าเป็นผู้จัดได้ติดตามฟัง ธรรมะของท่านอาจารย์ทางสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์มาก่อน มีข้อสงสัยจึงได้เรียนเชิญท่าน อาจารย์มาสนทนาธรรมที่นี่ แต่ไม่เป็นไรท่านอาจารย์สามารถบรรยายธรรมะกับทุกคนที่สนใจ ฟังได้อยู่แล้ว แม้จะมีพื้นฐานทางธรรมะต่างกันอย่างไรก็ตาม
สำหรับเราเองเมื่อตั้งใจฟังด้วยดี ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏแต่ละขณะ เป็นแต่ละหนึ่ง จึงเห็นความเกิดขึ้นและดับไป ถ้ายังรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นสัตว์ สิ่งของ เมื่อนั้นยังไม่ใช่ธรรมะที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ฟังธรรมะ คือ ฟังสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก หรือสี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เรื่องราวที่คิดนึก ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เราเห็น หรือเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นเพียงเห็น แล้วก็ดับไป พิจารณาธรรมะ คือ พิจารณาเห็น ได้ยิน เป็นต้นว่าเป็นธรรมะอย่างไร และเมื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะตามที่ได้ศึกษามานั่นเอง
ท่านอาจารย์บอกว่า ธรรมะลึกซึ้งมาก ผู้ที่คิดว่า พูดแต่เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซ้ำๆ กัน พูด เหมือนเดิม รู้แล้ว ไม่ต้องฟังอีกแล้ว ผู้นั้นประมาทพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะต้องฟังด้วยดี ฟังธรรมะ คือ ฟังสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ฟังชื่อ หรือเรื่องราว แต่ ขณะฟังนั้นพิจารณาสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏด้วย จนกว่าจะรู้แจ้งจริงๆ ว่า เห็นเป็นเห็น เห็นเป็น ธรรมะ เห็นไม่ใช่เป็นเรา เมื่อนั้นจึงจะชื่อว่า เริ่มเข้าใจขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่เข้าใจแล้ว จะเข้าใจแล้ว เมื่อรู้แจ้งนามธรรมและรูปธรรมทั้งหมดว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลจริงๆ รู้แจ้งอริยสัจธรรมตามลำดับ จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ หมดกิจที่ควรทำแล้ว คือขัดเกลา กิเลสหมดแล้ว
มีผู้เรียนท่านอาจารย์ว่า ฟังวันนี้แล้วเข้าใจขึ้นว่า เห็นเป็นธรรมะ แม้ว่าจะฟังมาหลายครั้งแล้ว ก็ตาม ท่านบอกว่า ธรรมะลึกซึ้งอย่างนี้ ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังครั้งแรกอาจจะไม่รู้เรื่องเลย ฟัง ต่อไป พิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏด้วย จนเมื่อฟังไปอีกก็จะเริ่ม เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
สนทนาธรรมจบตอนสี่โมงเย็น ท่านอาจารย์และคณะแวะไปเยี่ยมคุณโจ น.ต. จรัญปานุราช ที่ ป่วยเป็นโรค ALS ที่โรงพยาบาลประสาท เราเคยไปเยี่ยมคุณโจเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นเพิ่ง ผ่าตัดหน้าท้องเพื่อป้อนอาหาร และยังสื่อสารด้วยการเขียนหนังสือได้ แต่ตอนนี้กล้ามเนื้ออ่อน แรงเพิ่มขึ้นจนหายใจเองไม่ได้ ต้องเจาะคอ และเขียนหนังสือไม่ได้แล้ว คุณฝน ภรรยาที่ดูแล อย่างใกล้ชิด ได้ทำตารางตัวพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ให้คุณโจชี้ แล้วนำมาผสมคำ เพื่อ ติดต่อสื่อสารกัน เมื่อท่านอาจารย์ไปถึงห้องผู้ป่วย คุณโจและคุณฝนคอยต้อนรับท่านอาจารย์ ด้วยสีหน้าดีใจ ท่านอาจารย์ยืนคุยธรรมะอยู่ข้างเตียงให้กำลังใจอยู่นาน หลายครั้งที่ทำให้คุณ โจและพวกเราที่ได้ยินเกิดปีติจนน้ำตาไหลตามไปด้วย (จะเอามาเล่า ก็ลืมไปแล้วค่ะ) ท่าน ถามคุณโจว่า “มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเมื่อไร” คุณโจชี้ตัวอักษรได้ความว่า “ทุกเวลาเมื่อระลึก ได้” ท่านกล่าวว่า คุณโจเป็นตัวอย่างของคนที่เข้าใจพระธรรม ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอย่างไร ความ เข้าใจนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ในจิต
กลับไปพักที่โรงแรมคันทารี พักได้ครู่หนึ่งก็ได้เวลาไปร่วมสวดอภิธรรมศพคุณแม่แสงจันทร์ อินทรนันท์ คุณแม่ของน้องตู่ ฐิภา อินทรนันท์ นักร้องเสียงทอง สมาชิกบัส 4 ที่ไปอินเดียด้วย กัน งานกุศลนี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน จึงไม่ได้เตรียมชุดดำไปร่วมงาน ใส่สีทึมๆ ที่ใส่ไป มีคุณน้อย พัทธนารี คุณแอ๊ว ฟองจันทร์ คุณขจีรัตน์ และอาจารย์สงบ 5 คน เป็นตัวแทนบัส 4 ไปร่วมงานน้องตู๋ ขอแสดงความเสียใจกับน้องตู๋อีกครั้งที่สูญเสียคุณแม่วัย 88 อย่างกะทันหัน
วันรุ่งขึ้น สนทนาธรรม ณ สถานที่เดิม ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 11 โมงกว่า รับประทานอาหาร กลางวันที่หน้าห้องประชุมเลย ไม่ต้องเดินทางไปไหน รับประทานเสร็จก็เริ่มสนทนาเวลาบ่าย โมงตรง จบการสนทนาเวลาบ่ายสามโมงตรง เสร็จแล้วท่านอาจารย์ก็ไปเยี่ยมคุณโจอีกครั้ง สนทนาธรรมจนได้เวลาเดินทางไปสนามบิน เมื่อถึงสนามบินเช็คอินเรียบร้อย เข้าไปห้อง รับรอง มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เชียงใหม่ ตามมาส่งอีกจำนวนหนึ่ง ท่านอาจารย์สนทนาธรรม อีกรอบจนได้เวลาขึ้นเครื่องที่ดีเลย์อีกตามเคย ได้นั่งติดกับท่านอาจารย์ ไม่กล้าสนทนากับ ท่านอีก เพราะเห็นท่านหลับตา ดูแล้วท่านคงเหนื่อยมาก ควรจะคิดพิจารณาธรรมะเองบ้าง ไม่ใช่คอยจะถามตลอดเวลา
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์ที่ทำให้เห็นว่า การใช้เวลาอย่างคุ้มค่า มี ประโยชน์กับคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร ขอบคุณสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เชียงใหม่ที่ดูแลพวกเรา อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาว บุญยวีร์ รัชนี ที่คอยรับส่งและจัดการทุกอย่างให้จน เรียบร้อยค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุขออนุโมทนาคะ
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงครับ
แม้ไม่มีโอกาสได้ไปด้วย ก็ได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ โดยครบถ้วน พร้อมกับภาพถ่ายสวยงาม จากน้องบุญยวีร์ ยอดเยี่ยมมากครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง
ขอขอบพระคุณพี่แดง ที่บรรยายเรื่องราวทุกครั้งก็ซาบซึ้ง รับรู้ถึงความรู้สึกได้ลึกจริงๆ ค่ะ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ