มงคลสูตร.. พรรณนาคาถาว่าคารโวจ
โดย pirmsombat  20 ต.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21931

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจาก มงคลสูตร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 197

พรรณนาคาถาว่าคารโว

บัดนี้ จะพรรณนาในคาถาว่า คารโวนี้. บทว่า คารโวได้แก่

ความเป็นผู้หนัก [การณ์]. บทว่า นิวาโตได้แก่ ความประพฤติถ่อมตน.

บทว่า สนฺตุฏฺฐิแปลว่า ความสันโดษ. ความรู้อุปการะคุณที่ท่านทำไว้

ชื่อว่า กตัญญุตา. บทว่า กาเลนแปลว่า ขณะสมัย. การฟังธรรม

ชื่อว่า ธัมมัสสวนะ. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้นแล นี้เป็นการ

พรรณนาบท.

ส่วนการพรรณนาความ พึงทราบดังนี้. ความเคารพ การทำความ

เคารพความเป็นผู้มีความเคารพตามสมควรในพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระสาวกของพระตถาคต อาจารย์ อุปัชฌาย์ มารดาบิดา พี่ชาย พี่สาว

เป็นต้น เป็นผู้ควรประกอบความเคารพ ชื่อว่า คารวะ. คารวะนี้นั้น

เพราะเหตุที่เป็นเหตุแห่งการไปสุคติเป็นต้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

บุคคลกระทำความเคารพผู้ที่ควรเคารพสักการะ

ผู้ที่ควรสักการะนับถือผู้ที่ควรนับถือบูชาผู้ที่ควร

บูชา. เพราะธรรมนั้นที่ยึดถือไว้บริบูรณ์อย่างนี้

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเขาย่อมเข้าลงสุคติ

โลกสวรรค . ถ้าเขาไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรคหากเขา

มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้มีตระกุลสูงในประเทศที่

กลับมาเกิดดังนี้.

และเหมือนอย่างที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความ

ไม่เสื่อมประการเหล่านี้. ประการเป็นไฉน

๗ประการมีความเป็นผู้มีความเคารพในพระศาสดาดังนี้

เป็นต้นฉะนั้น จึงตรัสว่าเป็นมงคล.

ความเป็นผู้มีใจลดต่ำ ความเป็นผู้มีความประพฤติไม่ลำพอง ชื่อว่า

ความถ่อมตน. บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้ถ่อมตนอันใด กำจัดมานะได้

กำจัดความกระด้างได้ เป็นเสมือนผ้าเช้ดเท้า เสมอด้วยโคอุสุภะเขาขาด และเสมอ

ด้วยงูที่ถูกถอนเขี้ยวแล้ว ย่อมเป็นผู้ละเอียดอ่อนละมุนละไม ผ่องแผ้วด้วยสุข

ความเป็นผู้ถ่อมตนอันนี้ เป็นนิวาตะนิวาตะนี้นั้น ตรัสว่าเป็นมงคล เพราะ

[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 199

เป็นเหตุได้คุณ มียศเป็นต้น. อนึ่ง ตรัสไว้ว่า ผู้มีความถ่อมตนไม่

กระด้างคนเช่นนั้นย่อมได้ยศดังนี้ เป็นต้น.

ความสันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ชื่อว่า สันตุฏฐี. สันโดษนั้น

มี๑๒อย่างคือ ในจีวร ๓ อย่าง คือยถาลาภสันโดษ สันโดษตามที่ได้.

ยถาพลสันโดษ สันโดษตามกำลัง ยถาสารุปปสันโดษ สันโดษตามสมควร.

ในบิณฑบาตเป็นต้นก็อย่างนี้.

จะพรรณนาประเภทแห่งสันโดษนั้น ดังนี้. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้

จีวรดีหรือไม่ดี ภิกษุนั้น ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรนั้นเท่านั้น ไม่ประสงค์

จีวรอื่น เมื่อได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในจีวรของภิกษุนั้น.

อนึ่งเล่า ภิกษุอาพาธเมื่อห่มจีวรหนักย่อมต้องค้อมตัวลง หรือลำบาก

เธอจึงเปลี่ยนจีวรนั้นกับภิกษุที่ชอบกัน ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรนั้น ก็

ยังเป็นผู้สันโดษอยู่ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในจีวรของภิกษุนั้น.

ภิกษุอีกรูปหนึ่ง เป็นผู้ได้ปัจจัยอันประณีต เธอได้จีวรบรรดาจีวร

ชั้นดีเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีค่ามาก คิดว่าจีวรนี้ เหมาะแก่พระเถระ

พระผู้บวชมานานและพระพหูสูตจึงถวายแก่พระภิกษุเหล่านั้น ตนเองก็เลือก

เอาเศษผ้าจากกองขยะ หรือจากที่ไรๆ อื่น ทำสังฆาฎิครอง ก็ยังเป็นผู้สันโดษ

อยู่นั่นเอง นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในจีวรของภิกษุนั้น.

อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้บิณฑบาต ปอนหรือประณีตยังอัตภาพ

ให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตนั้น ไม่ประสงค์บิณฑบาตอื่น. แม้เมื่อได้ก็ไม่รับ

นี้ชือว่า ยถาลาภสันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.

อนึ่งเล่า ภิกษุอาพาธฉันบิณฑบาตเศร้าหมองโรคจะกำเริบหนัก เธอจึง

ถวายบิณฑบาตนั้น แก่ภิกษุที่ชอบกัน ฉันเนยใส น้ำผึ้ง และนนสดเป็นต้น

จากมือของภิกษุนั้น แม้ทำสมณธรรมอยู่ ก็ยังเป็นผู้สันโดษ นี้เป็น ยถาพล-

สันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.

ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้บิณฑบาตอันประณีต เธอคิดว่า บิณฑบาตนี้

เหมาะแก่พระเถระ พระผู้บวชมานาน และแม้แก่สพรหมจารีอื่น ผู้เว้น บิณฑ-

บาตอันประณีตเสีย ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ จึงได้ถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น

ตนเองเทียวบิณฑบาต แม้ฉันอาหารที่ปนกันก็ยังเป็นผู้สันโดษอยู่ นี้ชื่อว่า

ยถาสารุปปสันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.

อนึ่ง เสนาสนะมาถึงภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอก็สันโดษด้วยเสนาสนะ

นั้นนั่นแหละ ไม่ยอมรับเสนาสนะอื่น แม้ดีกว่าที่มาถึงอีก นี้ชื่อว่า ยถา-

ลาภสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น.

อนึ่งเล่า ภิกษุอาพาธอยู่ในเสนาสนะที่อับลม ย่อมจะทุรนทุรายอย่าง

เหลือเกิน ด้วยโรคดีเป็นต้น เธอจึงถวายเสนาสนะแก่ภิกษุที่ชอบกัน แล้วอยู่

เสียในเสนาสนะอันเย็น มีลม ที่ถึงแก่ภิกษุนั้น แม้กระทำสมณธรรม ก็ยัง

เป็นผู้สันโดษอยู่ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น.

ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่ยอมรับเสนาสนะที่ดีแม้มาถึง คิดว่าเสนาสนะดี

เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อภิกษุนั่งในเสนาสนะนั้น ถีนมิทธะย่อมครอบ

งำ เมือหลับแล้วตื่นขึ้นมาอีก กามวิตกย่อมฟุ้งขึ้น เธอจึงปฏิเสธเสนาสนะ

นั้นเสีย อยู่แต่ในที่แจ้ง โคนไม้และกุฏิมุงบังด้วยใบไม้ แห่งใดแห่งหนึ่ง

ก็ยิ่งเป็นผู้สันโดษอยู่ นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะของภิกษุ

อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้เภสัชไม่ว่าผลสมอหรือมะขามป้อม เธอ

ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเภสัชนั้น. ไม่ประสงค์เภสัชอย่างอื่น มีเนยใส น้ำผึ้ง

น้ำอ้อยเป็นต้นที่ได้แล้ว แม้เมื่อได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษใน

คิลานปัจจัยของภิกษุนั้น.

อนึ่ง ภิกษุอาพาธ ต้องการน้ำมัน แต่ได้น้ำอ้อย เธอก็ถวายน้ำอ้อย

นั้นแก่ภิกษุที่ชอบกัน แต่ทำยาด้วยน้ำมันจากมือของภิกษุนั้น แม้กระทำ

สมณธรรม ก็ยังเป็นผู้สันโดษอยู่ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในด้านปัจจัย

ของภิกษุนั้น.

ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ใส่สมอดองกับมูตรเน่าลงในภาชนะใบหนึ่ง ใส่

ของมีรสอร่อย ๔ อย่างลงในภาชนะใบหนึ่ง เมื่อถูกเพื่อนภิกษุบอกว่า ท่าน

ต้องการสิ่งใด ก็ถือเอาเถิดท่าน ถ้าว่า อาพาธของภิกษุนั้น ระงับไปด้วย

สมอดองน้ำมูตรเน่าและของรสอร่อยทั้งสองนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ เมื่อเป็น

ดังนั้นเธอคิดว่า ธรรมดาว่าสมอดองด้วยมูตรเน่า พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรง

สรรเสริญแล้ว และพระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นเภสัช พึง

ทำความอุตสาหะในมูตรเน่าเป็นเภสัชนั้น จนตลอดชีวิต ปฏิเสธของมีรสอร่อย

เป็นเภสัช แม้กระทำเภสัชด้วยสมอดองด้วยมูตรเน่า ก็เป็นผู้สันโดษอย่างยิ่ง

นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น.

สันโดษแม้ทั้งหมดนั้น มีประเภทอย่างนี้ ก็เรียกว่า สันตุฏฐีสันตุฏฐี

นั้น พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุประสบการละบาปธรรมทั้งหลาย

มีความปรารถนาเกินส่วน ความมักมาก และความปรารถนาลามกเป็นต้น

เพราะเป็นเหตุแห่งสุคติ เพราะเป็นเครื่องอบรมอริยมรรค และเพราะเป็น

เหตุแห่งความเป็นผู้อยู่ได้สบายในทิศทั้ง ๘ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

จาตุทฺทิโสอปฺปฏิโฆโหติ

สนฺตุสฺสมาดนอิตรีตเรน.

ผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีความได้ย่อมเป็นผู้

อยู่สบายในทิศทั้งและไม่มีปฏิฆะเลยดังนี้เป็นต้น

ความรู้จักอุปการคุณที่ผู้ใดผู้หนึ่งทำมาแล้ว ไม่ว่ามากหรือน้อย โดย

การระลึกถึงเนืองๆ ชื่อว่า กตัญญุตา. อนึ่ง บุญทั้งหลายนั่นแล มีอุปการะ

มากแก่สัตว์ทั้งหลายเพราะป้องกันทุกข์มีทุกข์ในนรกเป็นต้นได้. ดังนั้น การ

ระลึกถึงอุปการะของบุญแม้เหล่านั้น ก็พึงทราบว่าเป็น กตัญญุตา. กตัญญุตา

นั้นตรัสว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุประสบผลวิเศษมีประการต่างๆ มีเป็นผู้

อันสัตบุรุษทั้งหลายพึงสรรเสริญเป็นต้น . ทั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบุคคลจำพวกเหล่านี้หาได้ยากในโลกคือ

บุพพการีกตัญญูกตเวที.

การฟังธรรม เพื่อบรรเทาความวิตกในกาลที่จิตประกอบด้วยอุทธัจจะ

หรือจิตถูกวิตกทั้งหลายมีกามวิตกเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งครอบงำ ชื่อว่าการ

ฟังธรรมตามกาล. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า การฟังธรรมทุกๆ ๕ วัน ชื่อ

ว่าการฟังธรรมตามกาล เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ท่านพระอนุรุทธะ กราบทูล

ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพวกข้าพระองค์นั่งประชุมกันด้วยธรรมมีกถาคืนยังรุ่ง

ทุก ๕ วันแล.

อนึ่ง ในกาลใด ภิกษุเข้าไปหากัลยาณมิตรแล้วอาจฟังธรรมบรรเทา

ความสงสัยของตนเสียได้ การฟังธรรมแม้ในกาลนั้น ก็พึงทราบว่าการฟังธรรม

ตามกาล เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุเข้าไปหากัลยาณ-

มิตรเหล่านั้น สอบถามไล่เลียงตลอดกาล ตามกาล. การฟังธรรมตามกาลนั้น

นั้น พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุประสบผลวิเศษนานาประการมีการ

ละนีวรณ์ได้อานิสงส์ ๔ และบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะเป็นต้น. สมจริงดังที่

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยใดพระอริยสาวก

ใส่ใจทำให้เป็นประโยชน์รวบรวมทุกอย่างไว้ด้วยใจ

เงี่ยโสตฟังธรรมในสมัยนั้นนิวรณ์ของพระ

อริยสาวกนั้นย่อมไม่มี.

และว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพึงหวังอานิสงส์ประการ

แห่งธรรมทั้งหลายที่คุ้นโสตฯลฯที่แทงตลอดด้วย

ดีแล้ว.

และว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมเหล่านี้อันภิกษุ

อบรมโดยชอบหมุนเวียนไปโดยชอบตลอดกาล

ตามกาลย่อมให้ถึงธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะโดยลำดับ

ธรรมประการคือการฟังธรรมตามกาล.

อย่างนี้เป็นต้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถานี้ไว้ ๕ มงคล คือ ความ

เคารพ ๑ การถ่อมตน ๑ สันโดษ ๑ กตัญญุตา ๑ และการฟังธรรมตามกาล ๑

ด้วยประการฉะนี้. ความที่มงคลเหล่านั้นเป็นมงคล ที่ได้ชี้แจงไว้ในมงคลนั้นๆ

แล้วทั้งนั้นแล.

จบพรรณนาความแห่งคาถานี้ว่า คารโว จ



ความคิดเห็น 1    โดย nong  วันที่ 21 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย kinder  วันที่ 21 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย zokenyo  วันที่ 12 พ.ย. 2555

อนุโมธนาสาธุค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 12 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ