ดิฉันนั่งยกมือ 15 จังหวะ โดยให้รู้สึกตามจังหวะ 15 จังหวะ ประมาณชั่งโมงกว่าๆ
ดิฉันมีความรู้สึกว่ามีความสว่างวาบขึ้น ขณะนั้นเกิดอาการรู้ว่า อาการไหวกับตัวที่รู้
ไหวแยกกัน ดิฉันรู้สึกปิติขึ้นมา ขอถามว่าดิฉันเห็นกายกับจิตแยกกันใช่ไหม?
ขอเรียน คุณ pannee ว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องใช้เวลาและมีลำดับขั้นตอน โดยเฉพาะขั้นต้นคือการศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า แต่ละอย่างคืออะไร เช่น กาย จิต นาม รูป ธรรม เป็นต้น คืออะไร อยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตนสัตว์อย่างไร รู้ตามความเป็นจริงได้อย่างไร เมื่อรู้แล้วมี คุณประโยชน์อย่างไร เมื่อไม่รู้มีโทษอย่างไร ฯลฯ จุดเริ่มต้นควรจะเป็นอย่างนี้ก่อน ไม่ควรทำตามคำแนะนำของบุคคลอื่นโดยเราไม่เข้าใจอะไรเลย อนึ่งปัญญาที่จะ ประจักษ์แจ้งการแยกขาด ของนามธรรมและรูปธรรมไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ต้องใช้เวลา และการเริ่มต้นที่ถูกต้องเสียก่อน ตามที่คุณถามมานั้นยังไม่ใช่การเห็นกายกับจิตแยกกันครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ปัญญาประจักษ์การแยกขาดของนาม-รูป ต้องเริ่มต้นที่ถูกต้องก่อนนั้น ต้องศึกษา
ให้เข้าใจก่อน ตามที่ท่านกล่าวมานั้น โปรดแนะนำแหล่งศึกษาค้นคว้าด้วยครับ?
ขออนุโมทนา
ท่านสามารถศึกษาได้โดยตรงจากพระไตรปิฎก หรือที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธ
ศาสนา รวมถึงข้อมูลต่างๆ ในเวปไซต์บ้านธัมมะ
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่าน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
* * * ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า * * *
เีรียน คุณ pannee ผมเข้าใจในคำถามของคุณครับ และเข้าใจความรู้สึก (ลองฟังผมนิสนึงครับ) ด้วยการที่เราเป็นคนพุทธ อยู่ในสังคมพุทธ และ เห็น ผู้ใหญ่บางท่าน หรือ คนในบางสถานที่ตามสำนัก หรือ มีการกระทำต่างๆ กัน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เราเห็นมาแต่เด็ก แต่เป็นเพียงการเห็นเค้ากระทำ พิธี หรือ อะไร ต่างๆ คนเหล่านั้น หรือ บางทีเราเองก็ตาม ก็มักจะโยงมาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ส่วนมากการที่จะเข้ามาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ส่วนใหญ่จะเริ่มจาก การเห็นในอภินิหารย์ หรือ เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ วันนี้ เวลานี้ ต้องเปิดใจและถามตัวเอง การที่เราเห็นคนอื่นทำอะไร หรือ สอนอะไร เราเองเข้าใจสิ่งที่เค้าทำแค่ไหน เราต้องมีเหตุ และ มีผล ถามตนเองว่าเราทำเพื่ออะไร เพื่อที่จะดับการเกิด การตาย ใช่ไหม เราต้องมีวัตถุประสงค์ของการที่จะทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่เป็นเหตุเป็นผล
ตอนผมเด็กๆ ผมก็เห็นนั่น นี่ โน้น แล้วก็เข้าใจไปเองบ้าง ผู้ใหญ่สอนบ้าง ฟังพระบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ซึ่งพอโตมา มีจุดนึงที่ผมถามตัวเองว่า "พระพุทธเจ้าคือใคร" ลำดับแรก ก็ศึกษาเรื่องราวของพระองค์ก่อน (รู้จักท่านก่อนว่างั้นนะครับ) ผมก็ว่าสมควรแล้วแหละ เพราะเราจะนำคำสอนของพระองค์มาประพฤปฏิบัติ แต่เราไม่รู้จักพระองค์ ดีพอแล้วผลจะออกมารูปไหนแหละครับ จากนั้นก็ศึกษาว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร และ สิ่งที่ทรงตรัสรู้นั้นเพื่อประโยชน์อันใด
จากวันนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าผมรู้เกี่ยวกับศาสนานั้น กลายเป็นว่าผมไม่รู้อะไรเลย
เช่น คำว่า นะโม ตรัสสะ ภะคะวะโต ฯ สั้นๆ เพียงเท่านี้ เราคนพุทธรู้ความหมายแบบลึกซึ้งหรือยัง เน้นคำว่าลึกซึ้งหรือยังนะครับ
ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เราต้องศึกษา ผมจะพูดให้ท้ออีกอย่างนะครับ
พระไตรปิฎก มี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันฑ์ แยกเป็น พระวินัยฯ ๒๑๐๐๐ พระสุตตันฯ ๒๑๐๐๐ พระอภิธรรมฯ ๔๒๐๐๐ เรารู้อะไรบ้างแล้ว ซึ่งการเห็นรูปนามแยกกันนั้นต้องศึกษาด้วยการ ฟังพระธรรม ให้มาก ซึ่งเป็นการสะสมซึ่งต้องใช้เวลาข้ามภพข้ามชาติก็ไม่ผิด การที่จะศึกษาก็มีอุปสรรค เช่น เราจะศึกษาจากที่ใด และ ใครจะเป็นผู้แนะนำ และ เราเชื่อได้เพียงใด ทั้งนี้ทั้งนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเป็นเพราะบุญ (บุญหมายถึงอะไรทราบหรือยังครับ)
สำหรับการจะแนะนำ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะบางท่านก็ไม่ใส่ใจ หรือ คิดว่าเป็นการสบประมาทว่าผู้ถูกแนะนำนั้น ไม่เอาไหน
ถ้าคิดแบบนี้ก็คงไม่มีใครช่วยเราได้ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ถามตัวเราเอง พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นเหตุเป็นผล มีปัจจัยพร้อม สิ่งต่างๆ ก็มีอันเกิดได้ ไร้การควบคุม
ยินดีที่ได้สนทนานะครับ
ปัญญาเกิดจากการฟัง เราคงหลบไม่ได้ที่จะฟัง
ถ้าเป็นผม ผมควรอ่านหัวข้อการสนทนาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มที่ web นี้ แบบเก็บความสงสัยไว้ก่อน (เราต้องยอมรับว่า ความสงสัยมีมาก) ยิ่งสงสัยมาก ก็เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า เรามีความรู้น้อย ย่อมต้องเร่งศึกษาให้มาก อ่านให้มากก่อน แล้วมีอะไรสงสัยก็สอบถามผู้รู้ต่อไปครับ (ความพยายามครับ อดทนครับ เพียรครับ มุ่งมั่นครับ)
ขออนุโมทนากุศลจิตที่เกิดขึ้นนะครับ
* * * บางครั้งผมสงสัยว่าคนทั่วไปอยากเดินตามรอยพระพุทธองค์ * * *
* * * แต่ทำไม ชอบไปทำอะไรกันต่างๆ นาๆ * * *
* * * ไฉนไม่มาศึกษากันก่อนว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และ ทรงตรัสสอนอะไรไว้ * * *
ธรรมเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีคน สัตว์ บุคคล ตัวคน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูกในขั้นปริยัติ แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นตามลำดับ เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะละคลายอวิชชาได้ ความรู้ความเข้าใจถูกที่สะสมเพิ่มขึ้นจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้เอง ไม่มี "เรา" ที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้ จึงควรเริ่มต้นที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง แม้เพียงคำว่า ธรรม คืออะไร ก็ควรเข้าใจอย่างถูกต้องและมั่นคงค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ